“จักรกฤษ เส้นขาว” อีหม่ามมัสยิดอาลียินนูรอยน์ ซึ่งเป็นมัสยิดที่สัปบุรุษในชุมชนเสียชีวิตจากเหตุเรือล่มจำนวนมาก ได้ให้สัมภาษณ์ตอบโต้กลุ่มวะฮาบี ที่กล่าวหามุสลิมในชุมชนว่าเป็นพวกตั้งภาคี (ชีริก) เตือนอย่าทำตัวเป็นพระเจ้า เที่ยวไล่ตัดสินคนอื่นว่าเป็นผู้ตกศาสนา
เหตุการณ์เรือล่มที่หน้าวัดสนามไชย จ.พระนครศรีอยุธยา เมื่อช่วงเย็นของวันที่ 18 ก.ย.ที่ผ่านมา เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก นำมาซึ่งความเศร้าสลดของคนทั้งประเทศ โดยเรือลำดังกล่าวเป็นหนึ่งในขบวนเรือแห่ทำบุญในพิธีทางศาสนาอิสลามตามความเชื่อของมุสลิมซุนนี แนวทางตอรีกัต (รหัสยนิยม – mysticism หรือซูฟี -Sufism) ที่ทำกันมานานนับแต่สมัยโบราณ
อย่างไรก็ดีหลังเหตุโศกนาฏกรรมดังกล่าว ได้เกิดประเด็นถกเถียงและวิจารณ์กันอย่างกว้างขวางในสังคมมุสลิม เหตุเพราะมุสลิมแนวทางวะฮาบี (Wahhabi) ซึ่งได้รับอิทธิพลความเชื่อแบบซาอุดิอาระเบีย ได้ออกมาโจมตีผ่านทางทีวีดาวเทียมและสื่อโซเชียลว่า การทำพิธีดังกล่าวเป็นการตั้งภาคี (ชีริก) ต่อพระเจ้า และว่าเป็นอุตริกรรม (บิดอะห์) ของกลุ่มผู้ตกศาสนา นอกจากนั้นยังกล่าวด้วยว่าเหตุเรือล่มนี้เป็นการลงโทษจากพระเจ้า
จากเหตุดังกล่าว อีหม่าม “จักรกฤษ เส้นขาว” อีหม่ามมัสยิดอาลียินนูรอยน์ ซึ่งเป็นมัสยิดที่สัปบุรุษในชุมชนเสียชีวิตจากเหตุเรือล่มครั้งนี้ ได้ให้สัมภาษณ์ตอบโต้กลุ่มวะฮาบี กับ นายจักริน สุนทรจินดา แอดมินกลุ่มเฟสบุ๊ค “ชมรมมุสลิมเพื่อสันติภาพไม่นิยมความรุนแรง” ผ่านทาง Facebook Live
“วะฮาบีคิดเอง เออเอง ว่าอัลเลาะห์ลงโทษ…วะฮาบีกำลังตั้งตัวเป็นพระเจ้า” อีหม่ามจักรกฤษ กล่าวตอบโต้การใส่ร้ายของวะฮาบีที่ระบุว่า สาเหตุเรือล่มเพราะอัลเลาะห์ได้ลงโทษพวกชีริก (ตั้งภาคีต่อพระเจ้า)
อีหม่ามมัสยิดอาลียินนูรอยน์ ยังตั้งคำถามว่า “ชีริกคืออะไร? และวะฮาบีรู้จักชีริกดีแค่ไหน?”
“อันที่จริงแล้ว สำหรับมุสลิมนั้น ถ้ามี (สิ่ง) อื่นนอกจากอัลเลาะห์แล้วถือว่าชีริกทั้งนั้น ถ้าเอาสิ่งอื่นนอกจากอัลเลาะห์เป็นพระเจ้า (ถือว่า) ชีริกทั้งนั้น” อีหม่ามจักรกฤษ อธิบายและตั้งคำถามว่า
“แต่ว่าในกรณีของผม ผมกระทำการตออัต (เคารพให้เกียรติ) ต่อครู ผู้ที่ประสิทธิประสาทวิชาต่อผม แล้วผมชีริกตรงไหน?”
“และตราบใดที่พี่น้องของผมทุกคน มีคำปฏิญาณว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลเลาะห์ และมุฮัมหมัดเป็นศาสนทูตของอัลเลาะห์ ถามว่าผมไม่ใช่มุสลิมตรงไหน?”
นอกจากนั้น อีหม่ามจักรกฤษ เส้นขาว ยังกล่าวถึงบุคคลที่ตัดสินคนอื่น ว่าเป็นกาฟิร (ผู้ปฏิเสธ, ตกศาสนา) ว่าทำชีริก บุคคลเหล่านั้นยังเป็นคนมุสลิมอยู่หรือไม่
“เป็นการตัดสินคนโดยไม่สอบสวน ไม่สอบถาม แม้กระทั่งกฎหมายไทยเขายังมีการสอบสวนและสอบถาม นี่กฎหมายศาสนานะครับ”
“มีคำกล่าว (ในศาสนาอิสลาม) ที่ว่า ‘ทุกๆ การกระทำอยู่ที่เจตนา’… ผมมีเจตนาอย่างไร เขารู้หรือไม่? เพราะฉะนั้นการตัดสินคนโดยไม่ได้สอบถามเลย คิดเอง เออเอง เข้าข่ายฟิตนะห์ (ใส่ร้าย) หรือไม่?”
“ผมอยากจะถามสำนึกของคนเหล่านี้ว่า ยังเป็นคนที่มีศาสนาอยู่ในหัวใจหรือไม่” อีหม่ามจักรกฤษ กล่าว
“ผมอยากถามสำนึกของคนเหล่านั้น คนที่มาช่วยเหลือผมในขณะที่ผมเกิดอุบัติเหตุ ในขณะที่ผมประสบภัย มีแต่คนต่างศาสนิก ทุกองค์กรทุกภาคส่วนล้วนแล้วแต่โอบอุ้มและดูแลให้กำลังใจ มาช่วยเหลือในสิ่งที่ผมขาด แต่ในขณะเดียวกันผมเสียใจว่าคนในศาสนาเดียวกัน มีคำปฏิญาณเดียวกัน แต่กลับไม่มองว่าผมกำลังประสบภัย กลับซ้ำเติมผม นี่คือมุสลิมหรือ นี่หรือที่ได้ชื่อว่าคนมีคำปฏิญาณเดียวกัน”
“แล้วคำว่า ‘มุสลิมคือพี่น้องกัน เรือนร่างเดียวกัน’ หายไปไหน อยู่ที่ไหนแล้ว ผมอยากจะถามคนเหล่านี้ว่าเขาเป็นมุสลิมหรือไม่ หรือเป็นมุสลิมแค่เพียงชื่อ แต่ว่าหัวใจและร่างกายของเขานั้นไม่ใช่”
อีหม่ามมัสยิดอาลียินนูรอยน์ ยังเน้นย้ำว่า คนที่ออกมาโจมตีและใ่สร้ายเหล่านี้เป็น “คนที่มีจิตใจเหมือนไม่ใช่คน”
“คนต่างศาสนิกด้วยซ้ำที่หลั่งไหลความช่วยเหลือมาให้ในฐานะคนชาติไทยด้วยกัน เขามาให้ความช่วยเหลือทุกๆ อย่าง ให้กำลังใจ มีอะไรก็นำมาแบ่งปัน นั่นคือน้ำใจของคนไทยที่มีต่อกัน แต่ถามว่าคนที่อ้างว่าตัวเองเป็นมุสลิม อ้างตัวเองว่าตัดสินคนโน้นได้คนนี้ได้ แล้วก็มาตัดสินผม ผมอยากจะถามสำนึกว่า คนเหล่านี้ยังเป็นมุสลิมอยู่หรือไม่”
อีหม่ามยังบอกด้วยว่า พล.ต.ต.สุรินทร์ ปาลาเร่ เลขาธิการคณะกรรมการอิสลามแห่งประเทศไทยได้มาเยี่ยมให้กำลังใจและนำเงินช่วยเหลือมามอบให้ 50,000 บาท นอกจากนั้นยังได้ต่อสายให้พูดคุยกับท่านจุฬาราชมนตรีที่บอกกล่าวแสดงความห่วงใย และยืนยันว่าจะมาเยี่ยมหากกลับมาจากภาคใต้
“นี่คือองค์กรของเราที่ยังไม่ทิ้งเรา แต่ในขณะที่มีคนส่วนหนึ่ง ซึ่งผมถือว่าเป็นคนส่วนน้อยในประเทศไทยนี้ ที่คิดว่าตัวเองเป็นใหญ่ แล้วก็เที่ยวถือดาบไล่ฟิตนะห์คนโน้นคนนี้ไปทั่ว โดยคิดว่าตัวเองเป็นพระเจ้า” อีหม่ามจักรกฤษ เส้นขาว กล่าว
อนึ่งมุสลิมแนวทางวะฮาบี (Wahhabi) เป็นแนวทางที่ได้รับอิทธิพลจากซาอุดิอาระเบีย และมักเป็นพวกตีความศาสนาแบบหัวรุนแรงและสุดโต่ง (radicalism & extremism) เพิ่งเข้ามาสู่ประเทศไทยราว 35 ปีที่ผ่านมา และมักโจมตีกล่าวหา กลุ่มซุนนีเดิม (คณะเก่า) ว่าปฏิบัติอุตริกรรม (บิดอะห์) และตั้งภาคี (ชีริก)
นอกจากนั้น นิกายวะฮาบีถือเป็นไม้เบื่อไม้กับมุสลิมสำนักคิดชีอะห์ สืบเนื่องมาจากความขัดแย้งระหว่างอิหร่านและซาอุดิอาระเบีย โดยอิหร่านถือเป็นเสาหลักของมุสลิมชีอะห์ และซาอุดิอาระเบียเป็นมุสลิมวะฮาบี โดยสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างสองฝ่ายยิ่งปะทุหนักข้อมากขึ้นในช่วงระยะ หลังที่เกิดความขัดแย้งในตะวันออกกลาง โดยเฉพาะกรณีความขัดแย้งในประเทศซีเรียและเยเมน ซึ่งอิหร่านและซาอุดิอาระเบียถือเป็นขั้วตรงข้ามกันในความขัดแย้งดังกล่าว
ทั้งนี้ในระยะหลังไม่กี่ปีมานี้ วะฮาบีที่วินิจฉัยมุสลิมด้วยกันว่าเป็นพวกตกศาสนา ถูกเรียกว่า “วะฮาบีตักฟีรี” (Wahabi Takfiri) เช่นกลุ่มไอซิสในตะวันออกกลางเป็นต้น
ขอบคุณคลิปจาก คุณจักริน สุนทรจินดา แอดมินกลุ่มเฟสบุ๊ค “ชมรมมุสลิมเพื่อสันติภาพไม่นิยมความรุนแรง”