รู้ไหม! “ฟิเดล คาสโตร” ยืนหยัดเคียงข้างปาเลสไตน์ ยิ่งกว่าอาหรับหลายประเทศเสียอีก

ฟิเดล คาสโตร กับ ยัสเซอร์ อาราฟัต ผู้นำปาเลสไตน์ ในคิวบา เมื่อ ธันวาคม ปี 1974 (ภาพจาก มูลนิธิอาราฟัต)

ปาเลสไตน์ได้สูญเสียเพื่อนที่เก่าแก่และใกล้ชิดที่สุดคนหนึ่งหลังการเสียชีวิตของ “ฟิเดล คาสโตร” อดีตประธานาธิบดีและผู้นำการปฏิวัติแห่งคิวบา

เขาเป็นหนึ่งในผู้นำไม่กี่คน (โดยยกเว้น เนลสัน แมนดาลา แห่งแอฟริกาใต้) ที่เป็นกระบอกเสียงและให้การสนับสนุนอย่างเหนียวแน่นต่อชาวปาเลสไตน์และการต่อสู้นานหลายสิบปีของพวกเขาเพื่อเรียกร้องความยุติธรรม

คาสโตรเป็นเจ้าภาพต้อนรับ “ยัสเซอร์ อาราฟัต” ผู้นำองค์กรพีแอลโอ (PLO) ในปี 1974 ซึ่งเป็นการแสดงจุดยืนชัดเจนต่อทั้งโลกให้เห็นถึงความมั่นคงและการสนับสนุนของเขาที่มีต่อชาวปาเลสไตน์

ณ กรุงฮาวานา เขาได้ให้การต้อนรับและสวมกอดผู้นำปาเลสไตน์เสมือนเพื่อนเก่า และยื่นมือแห่งมิตรภาพต่อผู้คนปาเลสไตน์ ซึ่งในขณะนั้นประเด็นปัญหายังไม่ได้ถูกรับรู้แพร่หลายเช่นทุกวันนี้

อาราฟัตและคาสโตรได้โคจรมาพบปะและสวมกอดกันอีกครั้งช่วงปี 1994 ในพิธีรับตำแหน่งประธานาธิบดีแอฟริกาใต้ ของ “เนลสัน แมนดาลา” สหายร่วมอุดมการณ์ของพวกเขา

หนึ่งปีก่อนการพบปะครั้งประวัติศาสตร์ระหว่างเขากับอาราฟัต ความสัมพันธ์ของคิวบากับเทลอาวีฟได้ดำดิ่งลงเป็นปฏิกิริยาอันมาจากสงครามในปี 1973 ระหว่างอาหรับกับอิสราเอล ซึ่งตามมาด้วยการที่คาสโตรได้ตัดสัมพันธ์ทางการทูตกับอิสราเอล

เหล่าบรรดาผู้สนับสนุนรัฐไซออนิสต์ ซึ่งรวมถึง “เท็ด ครูซ” วุฒิสมาชิกจากรัฐเท็กซัส โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงเมื่อ “บารัก โอบามา” ประธานาธิบดีสหรัฐ ประกาศฟื้นฟูความสัมพันธ์กับคิวบาในปีที่ผ่านมา และเปิดสถานทูตสหรัฐในคิวบาขึ้นมาใหม่ ซึ่งครูซอธิบายว่ามันเป็นเสมือน “การตบหน้า” อิสราเอล

ในเดือนมิถุนายน ปี 2010 คาสโตรได้แสดงการเหยียดหยันต่ออิสราเอลอย่างรุนแรง เมื่อเขาบอกว่า เครื่องหมายสวัสดิกะ ได้กลายเป็นร่มธงของชาติอิสราเอลแล้ว อันเนื่องมาจากการโจมตีที่โหดร้ายล่าสุดต่อชาวปาเลสไตน์ที่อาศัยอยู่ในฉนวนกาซา อดีตประธานาธิบดีคิวบาเปรียบเทียบโดยตรงกับ “นาซีเยอรมนี” หลังจากที่กล่าวว่า มันเป็นที่ชัดเจนว่าอิสราเอล “จะไม่ลังเล” ในการส่งชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซา 1.5 ล้านไปยัง “เตาเผา”

“รัฐแห่งความเกลียดชังของอิสราเอลที่มีต่อชาวปาเลสไตน์ ก็คือชนิดที่ไม่ลังเลที่จะส่งผู้ชาย ผู้หญิง และเด็ก 1.5 ล้านคนไปสู่เตาเผาซึ่งชาวยิวทุกเพศทุกวัยนับล้านคนเคยถูกฆ่าตาย” คาสโตรบอกกับสื่อท้องถิ่น ความโกรธของเขาพรั่งพรูออกมา หลังจากอิสราเอลเปิดปฏิบัติการทางทหารนานารูปแบบโจมตีฉนวนกาซาและโจมตีกองเรือช่วยเหลือ “มาร์วี มาร์มารา” ที่มุ่งไปยังฉนวนกาซาซึ่งนักเคลื่อนไหวด้านสันติภาพ 10 คนถูกฆ่าโดยหน่วยคอมมานโดอิสราเอลในน่านน้ำสากล

สองปีที่ผ่านมา คาสโตรลงนามในแถลงการณ์ระหว่างประเทศ “สนับสนุนปาเลสไตน์” ซึ่งเรียกร้องให้อิสราเอลเคารพมติของสหประชาชาติและยุติการใช้กำลังทหารยึดครองฉนวนกาซา เวสต์แบงก์ และเยรูซาเล็มตะวันออก เอกสารตราขึ้นโดยกลุ่มปัญญาชนและนักการเมืองที่มีชื่อว่า “In Defence of Palestine” (การป้องกันปาเลสไตน์) ซึ่ง “โมราเลส” ประธานาธิบดีโบลิเวีย, “อดอลโฟ เปเรซ เอสกุยเวล” ศิลปินอาร์เจนตินาและเจ้าของรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ, “อลิเซีย อลอนโซ่” นักเต้นคิวบา และ อลิซ วอล์คเกอร์ นักเขียนชาวอเมริกัน เป็นหนึ่งในกลุ่มผู้มีชื่อเสียงที่ลงนามในแถลงการณ์ซึ่งได้รับการส่งเสริมจากเครือข่ายปกป้องมนุษยธรรม (Network in Defence of Humanity)

พวกเขาได้กระตุ้นรัฐบาลทั่วโลกในการเรียกร้องอิสราเอลให้เคารพมติที่ 242 ของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ อันเป็นผลพวงของสงครามหกวัน ปี 1967 ซึ่งกล่าวว่า อิสราเอลจะต้องถอนตัวออกจากดินแดนที่ยึดครองในช่วงความขัดแย้ง

คาสโตรล้มป่วยในปี 2006 ขณะผ่าตัดเพื่อเอาเนื้องอกออก เขาได้ถ่ายโอนอำนาจไปยัง “ราอูล” น้องชาย ในปี 2008 ก่อนที่จะมอบอำนาจให้อย่างถาวรและตั้งราอูลเป็นประธานาธิบดีในปี 2011 คาสโตรได้ออกจากวงการเมืองอย่างเป็นทางการ โดยยังคงให้การสนับสนุนต่อชาวปาเลสไตน์จนวาระสุดท้าย

ทั้งนี้ข่าวการเสียชีวิตของคาสโตรส่วนใหญ่ในรายงานของสื่อกระแสหลักได้มองข้ามประเด็นการวิพากษณ์วิจารณ์อิสราเอลและการสนับสนุนปาเลสไตน์ของเขา

ปาเลสไตน์ได้สูญเสียเพื่อนที่ประเสริฐที่สุดซึ่งได้ยืนหยัดเคียงข้างพวกเขายิ่งกว่าอาหรับหลายประเทศเสียอีก และคิวบาก็ได้สูญเสียผู้นำการปฏิวัติที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ซึ่งเราคงไม่มีโอกาสที่จะได้พบเจอบุคคลเช่น ““ฟิเดล คาสโตร” อีกต่อไป