การท่องเที่ยวของไทยจะได้รับประโยชน์จากมุสลิมที่มีปัญหาในการเดินทางไปยุโรปหรือสหรัฐอเมริกา แต่ต้องเร่งปรับปรุงเรื่องความปลอดภัยและสวัสดิภาพ “ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ” อดีตเลขาฯ อาเซียนและรมว.ต่างประเทศ กล่าวในงานเปิด “อัลมีรอซ” โรงแรมฮาลาล 4 ดาวแห่งแรกของไทย
ในการปาฐกถาพิเศษเนื่องในงานเปิดตัวอย่างเป็นทางการของโรงแรมอัลมีรอซ โรงแรมฮาลาล 4 ดาวแห่งแรกของไทย เมื่อวันที่ 11 ก.พ. ที่ผ่านมา ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ อดีตเลขาธิการอาเซียนและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า นักท่องเที่ยวมุสลิมที่มายังประเทศไทย เช่นจากกลุ่มประเทศอ่าว ได้เพิ่มจำนวนมากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีมานี้ และการเปิดตัวของโรงแรมอัลมีรอซ โรงแรมฮาลาล 4 ดาวแห่งแรกของไทยและอาจเป็นแห่งแรกในอาเซียนนั้น ถือเป็นการรองรับการเติบโตดังกล่าวในอนาคต
“อัลมีรอซสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นพหุวัฒนธรรมของประเทศไทยและกรุงเทพมหานคร” ดร.สุรินทร์กล่าวและเน้นย้ำว่า “นี่เป็นสิ่งสำคัญมาก”
“กว่า 160 มัสยิดและชุมชนมุสลิมที่มีอยู่ในกรุงเทพฯ ซึ่งสามารถตอบสนองการแข่งขันด้านการท่องเที่ยวของไทยได้เป็นอย่างดี นี่คือสิ่งอำนวยความสะดวกด้านฮาลาล ซึ่งเป็นเสน่ห์ของไทยสำหรับนักท่องเที่ยวเมื่อเขาเดินทางมาไทย ทั้งที่มาเพื่อท่องเที่ยว จับจ่ายใช้สอย หรือมาเพื่อรักษาทางการแพทย์”
“สถาบันวิจัยของธนาคารกสิกรไทยบอกว่า เมื่อปี 2554 รายได้จากต่างชาติที่มารักษาทางการแพทย์ในประเทศไทย มีจำนวน 25 เปอร์เซนต์จากรายได้ทั้งหมดของโรงพยาบาลเอกชน ในปี 2558 เพิ่มขึ้นเป็น 35 เปอร์เซนต์” ดร.สุรินทร์ กล่าว
ดร.สุรินทร์บอกด้วยว่า การท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ (medical tourists) ของประเทศไทยเป็นที่นิยมของชาวต่างชาติ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิมจากประเทศตะวันออกกลางและกลุ่มประเทศอ่าวอาหรับนั้น “ก็เพราะโรงพยาบาลเอกชนของไทยมีบุคลากรที่สามารถตอบสนองด้านภาษาและเข้าใจวัฒนธรรม ซึ่งคนเหล่านี้คือนักศึกษาไทยมุสลิมที่เคยเดินทางไปศึกษายังประเทศตะวันออกกลาง และเมื่อจบการศึกษาก็กลับมาทำงานเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความเชื่อถือในแก่การท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ของไทย”
ดร.สุรินทร์ยังอ้างอิงสถานการณ์โลกปัจจุบัน ที่มุสลิมได้รับผลกระทบจากนโยบายห้ามเข้าประเทศของสหรัฐ และสถานการณ์อิสลาโมโฟเบียในยุโรปว่า ทิศทางเหล่านี้เป็นโอกาสของประเทศไทยที่จะรับนักท่องเที่ยวมุสลิมเพิ่มมากขึ้นอีก
“มุสลิมที่มีปัญหาในการเดินทางไปยุโรป มุสลิมที่มีปัญหาในการเดินทางไปสหรัฐอเมริกา โรงแรมอัลมีรอซ…ประเทศไทย…กรุงเทพมหานคร… จะได้รับประโยชน์จากทิศทางเหล่านี้ ทั้งการท่องเที่ยวแบบปรกติ การท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ หรือการเดินทางเพื่อธุรกิจ”
ดร.สุรินทร์ ได้ชี้ให้เห็นแนวโน้มการเดินทางท่องเที่ยวในอนาคตที่จะเปลี่ยนไปว่า ต่อไปนักท่องเที่ยวที่เป็นคนรุ่นใหม่จะเลือกเป้าหมายการเดินด้วยตนเอง ไม่เดินทางกับกรุ๊ป และจะใช้เทคโนโลยีดีไซน์การท่องเที่ยวของตนเอง เขาจะเลือกที่พัก แหล่งท่องเที่ยว และเซอร์วิสด้วยตนเอง
“นักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ จากเจเนอร์ชัน M Y X ที่ขณะนี้เป็นเจเนอร์เรชัน Z แล้วนั้น พวกเขาคือหนุ่มสาวมีพลัง มีความรู้ที่จะเลือกและต้องการมากกว่าการไปหาความสำราญ ทั้งต้องการประสบการณ์ด้วย” ดร.สุรินทร์ กล่าวและว่า
“เพราะฉะนั้นต่อไปนี้ ประเทศไทยที่จะเข้าสู่ 4.0 ก็ต้องตามเทรนด์ให้ทัน ต้องนำเอาเทคโนโลยีมาใช้ ต้องพร้อมที่จะรับ และต้องพร้อมที่จะเสนอทางเลือก อีกต้องพร้อมที่จะรับผิดชอบต่อเขาด้วย ทั้งทางด้านความสะดวกสบาย สวัสดิภาพ ทำให้เขารู้สึกปลอดภัย และมีความมั่นใจกับภาวะแวดล้อมต่างๆ ของเราที่จะเสนอให้แก่เขา”
“ประเทศไทยอยู่ในลำดับ 35 ของแหล่งท่องเที่ยวที่ดีที่สุด (Best Destination) ในขณะนี้ แต่สิ่งที่ประเทศไทยล้าหลังกว่าคนอื่นในเรื่องดรรชนีที่เกี่ยวกับคุณภาพของการท่องเที่ยว ประการแรกคือ เรื่องการพยายามที่จะรักษาสิ่งแวดล้อม ซึ่งเขายังไม่ประทับใจพอ ประการที่สอง ก็คือเรื่องความปลอดภัยและสวัสดิภาพ (safety and security)”
“เรื่องแหล่งท่องเที่ยวที่ดีที่สุด (Best Destination) ประเทศไทยอยู่ในลำดับ 35 แต่เรื่องความปลอดภัยและสวัสดิภาพ ไทยอยู่ลำดับที่ 132 จาก 141 ประเทศ” ดร.สุรินทร์ กล่าวและย้ำว่า “เราต้องไปปรับปรุงเรื่องนี้เพื่อให้ขึ้นมาอยู่ในลำดับต้นๆ”
“นั่นคือเทรนด์ของการท่องเที่ยวที่จะดำเนินไปในอนาคต” อดีตเลขาธิการอาเซียนและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าว