เจ้าชายซาอุฯ ยกย่อง “ทรัมป์” เป็น “มิตรแท้มุสลิม” เชื่อสั่งแบน 6 ชาติ ไม่ได้มุ่งเป้าอิสลาม

โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ และเจ้าชายมูฮัมหมัด บินซัลมาน รองมกุฎราชกุมารและรมว.กลาโหมซาอุดิอาระเบีย / © Nicholas Kamm / AFP

RT – เจ้าชายมูฮัมหมัด บินซัลมาน รองมกุฎราชกุมารซาอุฯ ยกย่อง นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ว่าเป็น “มิตรแท้ของชาวมุสลิม” และบอกว่าพระองค์ไม่เชื่อว่า นโยบายการห้ามผู้อพยพของผู้นำสหรัฐฯ นั้น “มุ่งเป้าไปยังศาสนาอิสลาม”

รองมกุฎราชกุมารซาอุดิอาระเบีย เจ้าชายมูฮัมหมัด บินซัลมาน ได้พบกับนายทรัมป์ที่ทำเนียบขาวเมื่อวันอังคาร (15 มี.ค.) โดยที่ปรึกษาอาวุโสของพระองค์ระบุว่า การพบกันดังกล่าวเป็น “จุดเปลี่ยนที่สำคัญทางประวัติศาสตร์” ในความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐ – ซาอุดีอาระเบีย

ที่ปรึกษากล่าวในแถลงการณ์ว่า แม้ว่าวอชิงตันและริยาดเคย “มีความเห็นที่แตกต่างกัน” แต่การพบกันเมื่อวันอังคาร “ได้ทำให้สิ่งต่างๆ เข้าที่เข้าทาง และเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในความสัมพันธ์”

ทั้งสองฝ่ายได้หารือถึงนโยบายของทรัมป์ซึ่งเป็นที่ถกเถียงกรณีห้ามพลเมืองจากประเทศมุสลิม 6 ประเทศเข้าสหรัฐฯ โดยไม่มีประเทศซาอุดิอารเบียอยู่ในรายชื่อดังกล่าว

“ซาอุดิอาระเบียไม่เชื่อว่ามาตรการนี้มุ่งเป้าไปยังประเทศมุสลิมหรือศาสนาอิสลาม” แถลงการณ์ระบุและว่า ริยาดเชื่อว่าการห้ามดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ก่อการร้ายเข้ามาในสหรัฐฯ

ทรัมป์ถูกวิพากษ์วิจารณ์บ่อยครั้งเนื่องจากไม่ได้ใส่ประเทศซาอุดิอาระเบียอยู่ในรายชื่อ ถึงแม้จะมีผู้ก่อการร้ายบางส่วนในเหตุการณ์ 9/11 ที่มาจากประเทศนี้ หลายฝ่ายอ้างว่ามันถูกละเว้นไว้เพราะทรัมป์มีข้อตกลงทางธุรกิจในประเทศซาอุฯ ที่เขาไม่ต้องการที่จะให้ได้รับผลกระทบด้วย

แถลงการณ์ระบุว่า “ประธานาธิบดีทรัมป์ได้แสดงถึงการเคารพอย่างสุดซึ้งต่อศาสนาอิสลาม โดยถือว่าเป็นหนึ่งในศาสนาของพระเจ้า ซึ่งมาพร้อมกับหลักธรรมแห่งมนุษยชาติอันยิ่งใหญ่ แต่ถูกปล้นไปโดยกลุ่มหัวรุนแรง”

แถลงการณ์เรียกทรัมป์ว่าเป็น “มิตรแท้ของชาวมุสลิม ผู้ที่จะรับใช้โลกมุสลิมในลักษณะที่คาดไม่ถึง” โดยมีการตั้งข้อสังเกตว่า ความเป็นจริงเกี่ยวกับประธานาธิบดีสหรัฐฯ นั้นต่างกับที่สื่อและคนอื่นๆ ฉายภาพของเขาออกไป

เจ้าชายมูฮัมหมัดและทรัมป์ยังหารือถึงกรณีข้อตกลงด้านนิวเคลียร์ในปี พ.ศ. 2558 ระหว่าง 6 ประเทศมหาอำนาจซึ่งรวมถึงสหรัฐฯ กับอิหร่าน เจ้าชายเห็นด้วยกับทรัมป์ซึ่งก่อนหน้านี้เรียกว่าข้อตกลงดังกล่าวว่าเป็น “มหันตภัย” และ “แย่ที่สุดเท่าที่เคยเจรจามา”

เจ้าชายกล่าวถึงข้อตกลงดังกล่าวว่า “แย่” และ “อันตรายมาก” โดยระบุว่า เอื้อให้อิหร่านกลับมาผลิตอาวุธนิวเคลียร์ได้ใน “ช่วงเวลาสั้นๆ”

แถลงการณ์ของที่ปรึกษาเจ้าชายยังได้กล่าวหาอิหร่านว่า “พยายามที่จะหาความชอบธรรมในโลกอิสลามด้วยการสนับสนุนองค์กรก่อการร้าย”

ทั้งสองฝ่ายได้หารือถึงการสร้างรั้วของซาอุดีอาระเบียตามแนวชายแดนของอิรัก ซึ่งตามคำแถลงระบุว่า “จะนำไปสู่การป้องกันการเข้าเมืองที่ผิดกฎหมายของปัจเจกบุคคล รวมทั้งการป้องกันการลักลอบขนส่ง(สิ่งผิดกฎหมาย)”

การเจรจาดังกล่าวถูกมองว่า เป็นการเปลี่ยนแปลงที่เป็นบวกจากความสัมพันธ์ที่กระอักกระอ่วนของริยาดกับฝ่ายบริหารของโอบามา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่มีการเจรจาข้อตกลงนิวเคลียร์กับอิหร่าน