ย้อนรอยการเมือง Di Selatan (41)

นอกจากข้อเขียนของคอลัมนิสต์ เพลิง พยัคฆ์ ในคอลัมน์ หมายเหตุข่าว ในหนังสือพิมพ์สยามรัฐฉบับรายวันแล้ว ยังมีบทความของคอลัมนิสต์ ทหารเก่า เขียนลงในคอลัมน์ ทีเล่น-ทีจริง ลงในหนังสือพิมพ์สยามรัฐฉบับรายวันลงวันที่ 6 พฤษภาคม 2532 ดังมีข้อความดังต่อไปนี้

ทีเล่น – ทีจริง

ทหารเก่า

“เมื่อตอนที่ พล.อ. หาญ ลีนานนท์ ส.ส. จังหวัดนครศรีธรรมราช พาพรรคพวกที่เป็น ส.ส. ด้วยกันอีก 8 คนตีจากพรรคประชาชนที่ยุบพรรคไปรวมกับพรรคเอกภาพ (เดิมเป็นพรรครวมไทย) และไปศิโรราบกราบไหว้ขอสังกัดอยู่ในพรรคชาติไทย ซึ่งเป็นพรรคใหญ่โต (ในปัจจุบัน) และเป็นพรรคที่ในแวดวงการเมืองโจษขาน (ด้วยความจริง) ว่า เป็นพรรคที่ร่ำรวยนั้น

เหตุการณ์ดังกล่าว ได้กลายเป็นเรื่องซู่ซ่าเอิกเกริกในทางการเมือง แต่ความเอิกเกริกนั้น เป็นความเอิกเกริกที่มีแต่เสียงตำหนิติเตียนประณาม และบางครั้งถึงกับด่าว่ากันด้วยความหยาบคายที่รุนแรง แต่สงวนไว้เป็นความลับไม่ให้บรรดา ส.ส. ที่ย้ายพรรคนั้นได้ยิน

เขียนกันด้วยความจริง ไม่มีหนังสือพิมพ์ฉบับใหนเขียนชมเชยการกระทำของ ส.ส. เหล่านั้นเลย

บางฉบับก็ประณามว่าเป็น ส.ส. ที่มีสภาพคล้ายโสเภณี

บางฉบับก็ยกตัวอย่างเปรียบเปรยว่า เหมือนกับหญิงสามผัว ชายสามพรรค

บางฉบับก็วิพากษ์วิจารณ์ว่า การเปลี่ยนแปลงพรรคในลักษณะเช่นนี้ นอกจากจะเป็นการทำลายเกียรติคุณและศักดิ์ศรีของตนเอง ซึ่งได้รับเกียรติจากราษฎรเลือกมาเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแล้ว

ยังเป็นการทำลายพรรคการเมืองที่มีขึ้นตามวิถีทางของระบอบประชาธิปไตย

ทำลายความเชื่อถือของประชาชน เป็นผู้แทนราษฎรที่ไม่รักษาอุดมการณ์ของตัวเอง

ครับ เป็นข้อตำหนิที่สารพัดจะสรรหามาตำหนิ

และยิ่งต่อมามีข่าวแว่วๆ มาว่า ท่านนายกรัฐมนตรี พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ ซึ่งเป็นหัวหน้าพรรคชาติไทย ได้ให้การต้อนรับ ส.ส. พลัดพรรคจรจัดเหล่านี้ด้วยความยินดี และกำลังจะมอบตำแหน่งที่สำคัญให้ คือ ตำแหน่งประธาน ที่ปรึกษาให้กับ พลเอก หาญ ลีนานนท์ ในฐานะที่เป็นผู้นำ ส.ส. อีก 8 คน มาสวามิภักดิ์และเป็นปาก (เสียง) และเป็นมือ(ยกสนับสนุน) ของรัฐบาล ตำแหน่งที่ พลเอก ชาติชาย มอบให้นี้ ถือว่าเป็นบำเหน็จรางวัล เพราะตำแหน่งดังกล่าวนี้ ได้รับค่าจ้างจากรัฐบาลเป็นเงินเดือนในอัตราสูง

เรื่องนี้ น่าตำหนิอยู่สักหน่อย

เพราะการเอาตำแหน่งดังกล่าว มอบให้กับ ส.ส. ที่มาจากพรรคการเมืองอื่นนั้น ก็เท่ากับให้เงินเป็นรางวัลหรือเป็นสินน้ำใจนั่นแหละครับ

เพียงแต่ว่า เงินรางวัลที่จ่ายเป็นเงินเดือนค่าจ้างที่ปรึกษานั้นเป็นเงินงบประมาณแผ่นดิน เป็นเงินของประชาชนเราๆ ท่านๆ นี่เอง ก็แปลกดีอยู่เหมือนกัน

เรื่องที่กล่าวนี้ จะเป็นจริงหรือไม่ ผมไม่ยืนยัน ถ้าหากเป็นจริงก็น่าเกลียดและน่ากลัว

น่าเกลียดในข้อที่ว่า มีการจ้างกันให้ย้ายพรรค

น่ากลัวในลักษณะที่ว่า ส.ส. ในพรรคชาติไทย ซึ่งเกิดมาในนามพรรคชาติไทย เป็น ส.ส. มาได้ เพราะพรรคชาติไทยนั้น

ขณะนี้ หัวหน้าพรรค (ชาติไทย) ท่านเห็นขี้ดีกว่าไส้ไปเสียแล้ว

ทั้งๆ ส.ส. ในพรรคชาติไทยทั้งที่เกิดในพรรคชาติไทยและพร้อมที่จะตายอยู่ในพรรคชาติไทย เข้าคิวรอคอยตำแหน่งบางตำแหน่งอยู่

แต่ก็ปรากฎว่า คนจรหมอนหมิ่นที่มาอาศัยพรรค (ชาติไทย) เกิดกลับได้รับเกียรติ ได้รับยกย่องให้ได้ตำแหน่งที่ปรึกษานั้นไปเสีย

เรื่องนี้ถ้าหากเป็นความจริง ผมก็เชื่อว่าในพรรคชาติไทยจะต้องมีคลื่นใต้น้ำเกิดขึ้นเป็นแน่

แต่ถ้าหากเรื่องที่ว่านี้ ไม่เป็นความจริง ผมก็ขอถอนความเห็นของผมที่แสดงออกในเรื่องนี้ทั้งหมด

ครับ ป่วยการที่จะเขียนถึง ส.ส. เหล่านั้น เพราะขณะนี้ก็เสียคนเสีย ส.ส.ไปแล้ว มาเขียนถึง ส.ส. ที่ดีๆ ดีกว่า

เพราะ ส.ส. ในสภาผู้แทนราษฎรของเรานั้นมีถึง 357 คน จะเสียไปเพียงเก้าคนสิบคนก็คงจะไม่เป็นอะไรไปเท่าใดนัก

ผมเห็นใจพรรคประชาชน แม้พรรคนี้จะสลายตัวไปแล้วด้วยการยุบพรรค แต่ก็น่าเห็นใจในเมื่อ ส.ส. ของพรรคประชาชน ซึ่งแยกตัวมาจากพรรคประชาธิปัตย์ เพราะเหตุผลบางอย่างที่จะอยู่ร่วมกันไม่ได้นั้น พรรคประชาชนก็พยายามสร้างพรรค สร้างเนื้อสร้างตัว ให้เทียมหน้าเทียมตา ให้เป็นพรรคการเมืองที่มีประสิทธิภาพ และผลในทางการเมือง จากจำนวนสมาชิกของพรรค 19 คน เมื่อตีจากไปเสีย 9 คน โดยเปลี่ยนอุดมการณ์จากค้านรัฐบาลไปเป็นฝ่ายสนับสนุนรัฐบาลแล้ว

ผมได้ทราบว่าได้มีการพยายามจะจูงใจ

และชักจูงสมาชิกคนอื่นๆ ในพรรคประชาชน (ที่ยุบไปแล้ว) ให้หันเหไปสังกัดพรรคการเมืองอื่น เฉพาะอย่างยิ่ง

ไปสังกัดพรรคชาติไทยอีกหลายคน อย่างน้อยก็อีก 4 คน ซึ่งปรากฎว่า ได้มีการเจรจาหว่านล้อม ต่อรองกันอยู่หลายตลบด้วยกัน แต่ปรากฎว่าไม่ได้ผล เพราะ ส.ส. 4 คนนั้น ยังรักษาอุดมการณ์ของตัวเองและของพรรคฝ่ายค้านเอาไว้ได้อย่างหนักแน่นและเหนียวแน่น

ผมขอโอกาสที่จะสรรเสริญ ส.ส. ทั้ง 4 คนนี้ คือ คุณเด่น โต๊ะมีนา ส.ส. จังหวัดปัตตานี คุณอารีเพ็ญ อุตรสินธุ์ ส.ส. จังหวัดนราธิวาส คุณวันมูหะมัดนอร์ มะทา ส.ส. จังหวัดยะลา และ คุณสมบูรณ์ สิทธิมนต์ ส.ส. จังหวัดกระบี่

ซึ่ง ส.ส. ทั้ง 4 ท่านนี้ เป็น ส.ส. จังหวัดภาคใต้ แม้จะได้รับคำชักชวนเชิญชวน ตลอดจนการอ้อนวอน ด้วยเงื่อนไขที่จะได้ประโยชน์จากการที่จะผละจากพรรคเอกภาพไปสังกัดพรรคชาติไทย อย่างมากมายไม่แพ้ ส.ส. 9 คน ที่ พลเอก หาญ ลีนานนท์ เป็นผู้นำไปสวามิภักดิ์ซบศรีษะกับฝ่ายที่สนับสนุนรัฐบาลก็ตาม

แต่ทั้ง 4 ส.ส. ก็ยืนกรานและตอบปฏิเสธด้วยประโยคสั้นๆ ว่า โน. เค.

และ ส.ส. ผู้มีเกียรติทั้ง 4 ท่านก็ไปสังกัดพรรคเอกภาพ ซึ่งขณะนี้เป็นพรรคนำในพรรคฝ่ายค้านต่อไปตามเดิม

ไม่ยอมเป็นแกะ (ดำ) หลงฝูงเหมือนอย่างเพื่อน ส.ส. ในพรรดเดิมของตน

นี่ซิครับ จึงจะเรียกว่าผู้แทนราษฎรที่มีเกียรติ ไม่เสียเกียรติที่ราษฎรได้เลือกมาเป็นผู้แทนของราษฎรแต่ละจังหวัด

เพราะทั้ง 4 ส.ส.นี้ แม้จะมีสภาพในทางเศรษฐกิจส่วนตัวเหมือนเพื่อน ส.ส. ที่แยกตัวออกไปเป็นฝ่ายสนับสนุนรัฐบาล หรืออาจจะกล่าวได้ว่า การเศรษฐกิจส่วนตัวจะด้อยกว่า ส.ส. 9 คนนั้นก็ตาม

แต่ ส.ส. ทั้ง 4 คน ที่กล่าวนามมาแล้ว ก็เป็น ส.ส. ที่รักเกียรติของตัวเองของพรรค รักศักดิ์ศรีของการเป็นนักการเมืองระดับชาติ ไม่จำนำตัวเองหรือขายตัวเอง รักอุดมการณ์ของการเป็น ส.ส. ตามมติของพรรค และยึดมั่นในอุดมการณ์ที่พรรคกำหนดไว้ และทั้งยังเป็นการแสดงความหมายต่อสังคมการเมืองให้เห็นว่า เป็นผู้ที่นิยมระบอบประชาธิปไตยและอยู่ในกฎเกณฑ์ของพรรคการเมือง จะเรียกว่าเป็น ส.ส. ประชาธิปไตยที่ปากและใจ ตลอดจนการกระทำตรงกัน ไม่ใช่เป็นประชาธิปไตยด้วยปาก แต่การกระทำนั่นเป็นอย่างอื่นไป

ผมจึงขอสรรเสริญ ส.ส. ทั้ง 4 คนนี้ ให้ปรากฎในข้อเขียนของผมเป็นลายลักษณ์อักษรเอาไว้ และเมื่อใดที่ผมพบหน้า ส.ส. ทั้ง 4 คนนี้ ผมจะแสดงความเคารพด้วยความนอบน้อม จะกราบไหว้ด้วยความเคารพ และนิยมด้วยความจริงใจ

ไม่เหมือนกับ ส.ส. บางคนที่ทรยศต่ออุดมการณ์ ทรยศต่อพรรค ซึ่ง ส.ส. เหล่านั้น ถ้าใครได้เห็น หากรับไหว้ด้วยการไหว้ตอบแล้ว ก็ขอให้รีบเอามือที่ไหว้นั้น ไปล้างน้ำฟอกสบู่เสียด้วย

ความจริงแล้ว ในสภาพของการเป็นรัฐบาล อันประกอบด้วยสมาชิกของพรรคการเมืองที่สนับสนุนอยู่ถึง 6 พรรคนั้น เพียงพอแล้วสำหรับการเป็นรัฐบาล

ไม่จำเป็นที่ ส.ส. ของพรรคฝ่ายค้านจะไปสมทบอีก และพรรคที่เป็นรัฐบาลนั้น ก็มีคนในพรรคเพียงไม่กี่คนที่ยินดีต้อนรับ ซึ่งความยินดีในการต้อนรับนั้นจะด้วยความจริงใจหรือมารยาททางการเมืองก็ไม่มีใครรู้ แต่ ส.ส. ส่วนใหญ่หรือส่วนมากในพรรคการเมืองนั้นเขาไม่พอใจ เขารังเกียจ แต่ด้วยมารยาททางการเมืองอีกนั่นแหละ เขาจึงไม่แสดงบทบาทออกมานอกหน้า แต่ลับหลังแล้ว เขาด่าว่า ส.ส. ที่มาอาศัยพรรค (เกิด) ของเขากันอย่างชนิดฟังไม่ได้ทีเดียว มีโอกาสและจังหวะเมื่อไรในอนาคตก็จะได้เห็นดีกัน

เอาละครับ ผมก็ไม่มีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ใดๆ ที่จะบันดาล นอกจากความรู้สึกและลมปาก คือ ส.ส. คนใดที่ทำคุณงามความดี ได้รับการสรรเสริญเหมือน ส.ส. 4 คน ที่รักอุดมการณ์ รักและส่งเสริมความเป็นประชาธิปไตย ไม่ทำลาย ผมก็ขอให้ ส.ส. นั้น จงเจริญพร้อมทั้งทางการเมือง และในทางสังคม ด้วยเกียรติยศและชื่อเสียง

และในทางกลับกัน ส.ส. คนใดเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว เห็นแก่อามิสสินจ้าง ก็ขอให้มีอันเป็นไปที่ตรงกันข้ามนั้นเถิด”

การยุบพรรคประชาชนครั้งนี้ มีความหมายมากสำหรับเรา เพราะนอกจากเป็นการทดสอบความมั่นคงและหนักแน่นในอุดมการณ์ทางการเมืองของกลุ่มแล้ว ยังเป็นการแสดงน้ำใจในการคบค้าหามิตรในเวทีการเมืองที่มีมุสลิมเป็นคนกลุ่มน้อย เราตระหนักดีว่า หากนักการเมืองมุสลิมไม่สามารถสร้างความเชื่อถือและไว้เนื้อเชื่อใจให้กับคนหมู่มากได้ เราจะหาที่ยืนที่จะให้นักการเมืองอื่นๆ ยอมรับเราเป็นมิตรนั้นยากมาก แล้วประโยชน์ทางการเมืองที่เราจะหยิบยื่นให้สังคมเราแทบจะหาไม่ได้เลย

เราจึงไม่อาจตีจาก คุณเฉลิมพันธ์ ศรีวิกรม์ และคุณวีระ มุสิกพงศ์ ในทางการเมืองได้ เพราะทั้งสองท่านนี้ให้เกียรติและอยู่เคียงข้างเรา มาตลอด