วอชิงตันโพสต์อ้างข้อมูลข่าวกรองสหรัฐฯ แฉ “ยูเออี” ตัวการแฮกเว็บ “กาตาร์” แพร่คำแถลงปลอม จุดชนวนขัดแย้ง

สำนักข่าวกาตาร์ซึ่งถูกแฮกในช่วงปลายเดือนพฤษภาคมเพื่อโพสต์คำพูดเท็จที่เชื่อมโยงกับประมุขกาตาร์ [Reuters]

อัลจาซีรา – วอชิงตันโพสต์เผยรายงานเมื่อวันอาทิตย์ (16 ก.ค.) อ้างข้อมูลเจ้าหน้าที่ข่าวกรองสหรัฐฯ ระบุ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) อยู่เบื้องหลังสื่อโซเชียลและเว็บไซต์ข่าวของรัฐบาลกาตาร์ถูกแฮกเมื่อเดือนพฤษภาคมเพื่อโพสต์คำแถลงปลอมของเจ้าผู้ปกครองกาตาร์ จนกลายเป็นชนวนวิกฤตการทูตครั้งใหญ่ระหว่างกาตาร์กับประเทศเพื่อนบ้านในอ่าวเปอร์เซีย

คำแถลงที่ถูกเผยแพร่ของ “เชค ตามีม บิน ฮามัด อัษ-ษานี” ในเดือนพฤษภาคมทำให้เข้าใจว่าเจ้าผู้ปกครองกาตาร์ยกย่อง “ฮามาส” ขบวนการต่อสู้ชาวปาเลสไตน์ และชมอิหร่านว่าเป็น “มหาอำนาจแห่งอิสลาม” ปฏิกิริยาต่อคำพูดดังกล่าวซาอุฯ ยูเออี อียิปต์ และบาห์เรนได้ตัดสัมพันธ์ทางการทูตและการขนส่งกับกาตาร์เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน และกล่าวหาว่าประเทศนี้สนับสนุน “การก่อการร้าย” กาตาร์ปฏฺิเสธข้อกล่าวหาอย่างหนักแน่น

กาตาร์เผยในปลายเดือนพฤษภาคมว่า แฮกเกอร์เป็นผู้โพสต์ถ้อยแถลงปลอมที่อ้างว่าเป็นของประมุขกาตาร์ แต่คำอธิบายนี้ถูกปัดทิ้งจากกลุ่มประเทศอ่าว

วอชิงตันโพสต์รายงานว่า เจ้าหน้าที่ข่าวกรองสหรัฐฯ เพิ่งทราบผลวิเคราะห์ข้อมูลใหม่ที่หน่วยข่าวกรองรวบรวมมาได้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งยืนยันว่า เจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลยูเออีหลายคนได้หารือแผนโจมตีใส่ร้ายกาตาร์เมื่อวันที่ 23 พ.ค. ก่อนวันเกิดเหตุดังกล่าว

เจ้าหน้าที่ข่าวกรองสหรัฐฯระบุว่า แต่ยังไม่ชัดเจนว่ารัฐบาลยูเออีว่าจ้างคนกลุ่มอื่นให้กระทำแทนหรือลงมือแฮกเอง ทั้งนี้วอชิงตันโพสต์ไม่ได้ระบุชื่อของเจ้าหน้าที่ข่าวกรองสหรัฐฯ ที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับรายงานชิ้นนี้ว่าเป็นใคร

อย่างไรก็ตาม ต่อมาเอกอัครราชทูตยูเออีประจำสหรัฐฯ ยูซุฟ อัล-โอไตบา ได้ออกมาปฏิเสธรายงานดังกล่าว และว่ารายงานของวอชิงตันโพสต์นั้น “เป็นเท็จ”

“สิ่งที่เป็นความจริงก็คือพฤติกรรมของกาตาร์ ที่ทั้งให้ทุน สนับสนุน และช่วยเหลือกลุ่มหัวรุนแรง จากกลุ่มตอลิบัน ไปยันกลุ่มฮามาส และกัดดาฟี (อดีตผู้นำลิเบีย) ปลุกระดมความรุนแรง เผยแพร่แนวคิดสุดโต่ง และบั่นทอนเสถียรภาพของประเทศเพื่อนบ้าน”  แถลงการณ์ระบุ

สำนักงานสืบสวนกลางแห่งสหรัฐอเมริกาเคยทำงานร่วมกับกาตาร์เพื่อสืบสวนการแฮกดังกล่าว

ผู้สื่อข่าวอัลจาซีรารายงานจากวอชิงตันดีซีกล่าวว่า นี่เป็นข้อมูลใหม่และกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯยังไม่ได้แสดงท่าทีอย่างเป็นทางการ