สหรัฐฯ ใช้สิทธิวีโต้มติยูเอ็นที่ปฏิเสธการรับรองเยรูซาเล็มของทรัมป์

นางนิกกี เฮลีย์ ทูตสหรัฐฯประจำสหประชาชาติ

บีบีซีไทย/อัจราซีรา – เมื่อวันจันทร์ ที่ 18 ธ.ค. สหรัฐฯ ใช้สิทธิยับยั้ง หรือวีโต้ การพิจารณาร่างมติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) ที่ปฏิเสธการรับรองนครเยรูซาเล็มเป็นเมืองหลวงอิสราเอลของนายโดนัลด์ ทรัมป์ และแผนของเขาที่ย้ายสถานทูตอเมริกันในอิสราเอลไปยังเมืองนี้ ส่งผลให้คณะมนตรีความมั่นคงฯ ไม่สามารถออกข้อมติดังกล่าวได้

อย่างไรก็ตาม ร่างมตินี้ได้รับการสนับสนุนจากคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติอีก 14 ประเทศ ที่ต่างออกเสียงสนับสนุนทั้งหมด ซึ่งรวมถึงชาติพันธมิตรของสหรัฐฯ จำนวนมาก

ร่างมติดังกล่าวซึ่งอียิปต์เป็นผู้เสนอมีเนื้อหาสำคัญว่า “การตัดสินใจหรือการกระทำใด ๆ ที่เปลี่ยนแปลงสถานะ ลักษณะ หรือองค์ประกอบของประชากรแห่งนครศักดิ์สิทธิ์เยรูซาเล็ม ถือว่าไม่มีผลทางกฎหมาย เป็นโมฆะ และจะต้องถูกยกเลิก เพื่อเป็นการปฏิบัติตามข้อมติของคณะมนตรีความมั่นคงฯ” และ “ขอเรียกร้องให้ทุกชาติงดเว้นไม่ประจำการคณะทูตในนครเยรูซาเล็ม ตามมติที่ 478 ของคณะมนตรีความมั่นคงฯ ซึ่งออกมาเมื่อปี 1980”

นางนิกกี เฮลีย์ ทูตสหรัฐฯประจำสหประชาชาติระบุว่า การที่คณะมนตรีความมั่นคงฯ เตรียมออกข้อมติดังกล่าว ถือเป็นการ “ดูหมิ่น” และสหรัฐฯจะไม่ลืมเหตุการณ์ครั้งนี้อย่างแน่นอน “นี่เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่สหประชาชาติทำให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดี ในความขัดแย้งอิสราเอล-ปาเลสไตน์” นางเฮลีย์กล่าว

ทูตสหรัฐฯ ประจำสหประชาชาติยังระบุอีกว่า “เพียงเพราะการตัดสินใจแค่ว่าจะตั้งสถานทูตของเราที่ไหนดี ในวันนี้สหรัฐฯ ถูกบีบบังคับให้ต้องปกป้องอธิปไตยของชาติ และจะมีบันทึกจดจำไว้ว่าเราทำได้อย่างน่าภาคภูมิใจอย่างยิ่ง”

“อะไรบางอย่างที่ลำบากกับบางคน [… ] นั่นคือ การที่สหรัฐอเมริกามีความกล้าหาญและความซื่อสัตย์ที่จะยอมรับความเป็นจริงมูลฐาน” Nikki Haley เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำสหประชาชาติกล่าว

“เยรูซาเล็มเป็นถิ่นฐานทางการเมือง วัฒนธรรม และจิตวิญญาณของชาวยิวเป็นเวลาหลายพันปีมาแล้ว – พวกเขาไม่มีเมืองหลวงอื่นใด”เธอกล่าวต่อ

ทั้งนี้เนื้อหาของร่างมติดังกล่าวไม่ได้เอ่ยถึงสหรัฐฯหรือประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โดยตรง เพื่อให้ได้เสียงสนับสนุนจากชาติสมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงฯมากที่สุด แต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จหลังสหรัฐฯ ใช้สิทธิวีโต้

ด้านนายเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล แถลงขอบคุณสหรัฐฯ และนางเฮลีย์ทางทวิตเตอร์ โดยบอกว่าการใช้สิทธิวีโต้นั้นเป็นเหมือน “การจุดเทียนแห่งความจริงเพื่อขับไล่ความมืดบอด” แต่นายมาห์มุด อับบาส ประธานาธิบดีปาเลสไตน์ เรียกการใช้สิทธิวีโต้ของสหรัฐฯ ว่าเป็นการกระทำที่ยอมรับไม่ได้ และเป็นภัยต่อเสถียรภาพของประชาคมนานาชาติซึ่งสหรัฐฯ ไม่เคยเคารพยำเกรง

รัฐมนตรีต่างประเทศของปาเลสไตน์ระบุว่า จะขอให้มีการประชุมฉุกเฉินของสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ เพื่อพิจารณาประเด็นเรื่องการรับรองนครเยรูซาเล็มต่อไป เนื่องจากความขัดแย้งนี้ยังคงทำให้เกิดการสู้รบในพื้นที่ฉนวนกาซาและเขตเวสต์แบงก์ซึ่งนับวันจะทวีความรุนแรงขึ้น เหตุดังกล่าวทำให้นายไมค์ เพนซ์ รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ เลื่อนกำหนดการเยือนภูมิภาคตะวันออกกลางออกไป จากเดิมที่จะเริ่มขึ้นในวันนี้ (19 ธ.ค.) ไปเป็นในราวกลางเดือน ม.ค. ปีหน้า