อิหร่านและจีนพยายามที่จะใช้ศักยภาพของเส้นทางสายไหม (Silk Road) เพื่อเพิ่มความร่วมมือด้านการค้าและเพิ่มความสัมพันธ์กับประเทศต่างๆ ที่ตั้งอยู่บนเส้นทางนี้ IFP สื่ออิหร่านรายงาน
ประธานหอการค้าอิหร่านกล่าวว่า อิหร่านและจีนสามารถเปิดบทใหม่ในความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการค้าโดยการเจาะเข้าไปสู่ศักยภาพของเส้นทางสายไหม
“อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว การลงทุนในโครงการขนส่ง พลังงาน โทรคมนาคม และกิจกรรมด้านอุตสาหกรรมอื่นๆ อยู่ในขอบเขตของความร่วมมือระหว่างอิหร่านกับจีน” นายโกลามฮุสเซน ชาฟีอี ประธานหอการค้าอิหร่านกล่าว ตามรายงานของเว็บไซต์คาบาร์ออนไลน์ (Khabar Online) ภาษาเปอร์เซีย
เขากล่าวว่า การที่เส้นทางสายไหมได้รับการฟื้นฟูขึ้นมานี้ต้องขอบคุณความพยายามของจีน และในปัจจุบันมีประเทศต่างๆ ถึง 67 ประเทศแล้วที่ได้เข้าร่วมกับหอการค้านานาชาติเส้นทางสายไหม (Silk Road International Chamber of Commerce)
“อิหร่านเป็นรองประธานของหอการค้านี้” เขากล่าวเพิ่มเติม
“นักวิเคราะห์ทางเศรษฐกิจได้คาดการณ์ว่า ศูนย์กลางเศรษฐกิจของโลกจะตั้งอยู่กึ่งกลางชายแดนจีน-อินเดีย หลังปี 2025 (พ.ศ.2568) และส่วนหนึ่งของการทำธุรกรรมทางการค้าจนกระทั่งไปถึงเวลานั้นก็คือเส้นทางสายไหม จนถึงเวลานั้น จีน อิหร่าน และอินเดีย สามารถเริ่มต้นความร่วมมือบทใหม่” เขากล่าว
ประธานหอการค้าอิหร่านกล่าวต่อไปว่า เตหะรานและปักกิ่งจะร่วมกันในด้านอาหารฮาลาลด้วยเช่นกัน
เขายังกล่าวถึงสถานะบัญชีธนาคารของชาวอิหร่านในประเทศจีน “จากข่าวล่าสุดที่เราได้ยิน ปัญหาของการแช่แข็งบัญชีธนาคารของชาวอิหร่านในประเทศจีนได้รับการแก้ไขเรียบร้อยแล้ว”
นอกจากนี้เขายังเน้นย้ำว่า บริษัทของจีนสามารถใช้กำลังการผลิตของหน่วยการผลิตในอิหร่านเพื่อผลิตสินค้าแบรนด์เนมได้
อิหร่านพร้อมกับจีน อินเดีย และประเทศอื่นๆ ได้วางแผนที่จะฟื้นฟูเส้นทางสายไหมโบราณเพื่อเพิ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้า
จีนได้นำเสนอโครงการ “แถบเศรษฐกิจเส้นทางสายไหม” (Silk Road Economic Belt) หรือที่เรียกว่า “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” (One Belt One Road) ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์การพัฒนาที่เน้นการเชื่อมต่อและความร่วมมือระหว่างประเทศในแถบเอเชีย