จริงๆ แล้ว ไม่มีกลุ่มผู้ประท้วงหรือม็อบ ให้ความสนใจต่อเศรษฐกิจของประเทศที่กำลังตกต่ำลงไปทุกที ทุกม็อบต่างเพิกเฉยที่จะให้ความเห็นเรื่องนี้
พูด กันตรงๆ ก็คือ ม็อบกกปส., ม็อบคปท. หรือม็อบพุทธะอิสระ ถึงแม้ไม่ใช่ม็อบเดียวกัน แต่คนส่วนใหญ่ก็รู้ว่า แกนนำเหล่านี้มาจากรากฐานเดียวกัน รากฐานที่ไม่อาจยอมรับเสียงของประชาชนที่แท้จริง และรากฐานที่ไม่อาจยอมรับความพ่ายแพ้การเลือกตั้งต่อไปได้
ม็อบ พวกนี้ไม่ใส่ใจว่า เศรษฐกิจจะตกต่ำเลวร้ายยังไง ประชาชนที่อยู่ภายใต้สภาวะเศรษฐกิจที่ไร้ทิศทางจะอดอยากยากแค้นมากขึ้นเพียง ใด ก็ไม่มีใครสน มีแต่คำว่า ไล่ระบอบทักษิณและปฏิรูปประเทศใส่ลงในสมองผู้คนบางส่วนที่พร้อมจะเชื่อ
ทั้ง ที่คำว่าปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง ก็แค่วาทะกรรม เป็นการเลี้ยงกระแส เป็นการดึงเสียงคนชั้นกลางและคนเกลียดทักษิณเอาไว้ ไม่ใช่สาระที่ม็อบตั้งใจจริงๆ แต่ภาคประชาชนหรือนักวิชาการก็ยังงมงายกับการปฏิรูปประเทศต่อไป
ความ ตั้งใจของม็อบที่แท้จริงก็คือ อำนาจที่จะฉีกรัฐธรรมนูญ ตั้งสภาของตัวเองและตั้งผู้นำพร้อมรัฐบาลของตัวเองขึ้น ไม่ใช่การเลือกตั้งใดๆทั้งสว.หรือส.ส.ที่กำลังงมงายกันอยู่ขณะนี้
ยิ่ง นานวัน นายสุเทพก็ยิ่งปฏิเสธการเลือกตั้ง และพยายามล้มการเลือกตั้งทุกวิถีทาง จนศาลรัฐธรรมนูญต้องเล่นไปตามเกมม็อบ เพื่อเปิดโอกาส เปิดทางให้พรรคประชาธิปัตย์ ลงเลือกตั้ง
หรือ จะไม่ลงก็ได้ เพราะกกต.รับลูกต่อไปแล้วว่า อาจจัดการเลือกตั้งภายใน 2-3 เดือน นั่นก็เพื่อจะรอให้องค์กรอิสระได้จัดการกับยิ่งลักษณ์พร้อมครม.หรืออาจจะหา ข้อหายุบพรรคเพื่อไทยทิ้งไปให้ได้เสียก่อน จนเกิดสุญญากาศทางการเมืองขึ้น เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาธิปัตย์เป็นพรรคการเมืองใหญ่พรรคเดียวที่ได้ลงเลือก ตั้งและมีโอกาสกำชัยชนะ
และ นี่คือสิ่งที่คนทั้งโลกได้เห็นว่า เมืองไทยเต็มไปด้วยความลึกลับซับซ้อน โดยเฉพาะ สิ่งที่องค์กรอิสระและสถาบันยุติธรรมต่างๆ ช่วยกันรวมหัวโค่นล้มนายกฯ หญิงและพยายามทำลายระบอบประชาธิปไตย โดยมีอดีตพรรคการเมืองฝ่ายค้านซึ่งล้มเหลวจากการเลือกตั้งมาทุกยุคสมัยใน ช่วง 10 ปีมานี้เป็นหัวหอก
ที่ น่าขันก็คือ พรรคการเมืองเหล่านี้ปลอมตัวมาเป็นนักเคลื่อนไหวทางการเมือง เพื่อหยิบยืมมือคนชั้นกลางในกรุงเทพ กลุ่มอนุรักษ์นิยมในเมืองใหญ่ทางภาคใต้มาเป็นนั่งร้าน เรียกร้องการปฏิรูปประเทศ (ไปยังงั้นแหละ)
ทั้ง ที่เป้าหมายที่แท้จริงคือ การใส่ร้ายป้ายสี ดิสเครดิตทำลายความนิยมพรรคเพื่อไทยและรัฐบาล เช่นเดียวกับที่ม็อบพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเคยประสบความสำเร็จใน การทำลายรัฐบาลจากการเลือกตั้งล้มลงถึง 2 ชุดมาแล้ว
แต่ จุดประสงศ์ของม็อบสุเทพขาหนึ่งและอีกขาอีกข้างหนึ่งคือ พรรคประชาธิปัตย์นั้นคือ การได้เปรียบในการเลือกตั้งและความได้เปรียบในการจัดตั้งรัฐบาลเท่านั้นเอง ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้
ไม่ใช่ การปฏิรูปประเทศอย่างที่นายสุเทพประกาศ เพราะเคยเป็นรัฐบาลมาเกือบ 3 ปี(2552-2554) ก็ไม่เคยทำสำเร็จ และไม่ใช่การจัดระเบียบเงื่อนไขใหม่ในการเลือกตั้งที่เป็นธรรมกว่าเดิมซึ่ง ทำให้ประชาธิปัตย์แพ้ตลอดมา
คำ พูดนี้ นายอภิสิทธิ์ย้ำบ่อยๆ ราวกับว่า รัฐบาลไหนเป็นฝ่ายจัดเลือกตั้งก็ต้องได้เปรียบหรือโกง ทั้งที่องค์กรอิสระอย่างกกต.ต่างหากที่เป็นคนจัดการเลือกตั้ง และล่าสุด พรรครัฐบาลอย่างประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นคนยุบสภา เป็นคนจัดการเลือกตั้งในปี 2554 ด้วยซ้ำไป เหตุใดจึงแพ้เลือกตั้งให้เพื่อไทยนับร้อยเก้าอี้?
ข่าวสาร ของเมืองไทยที่ปรากฏอยู่ในโลกก็คือ การต่อสู้ขัดแย้งที่ไร้ความยุติธรรมและไม่แฟร์กับคนคิดต่าง ยอมทุกอย่างที่จะทำให้ประเทศตัวเองกลายเป็นตัวตลก ขบขัน สวนทางกับบ้านเมืองอื่นเขาทั้งหมด กระทั่งเรื่องปรับปรุงประเทศให้ทันสมัยและเจริญก้าวหน้า ก็ยังทำได้ยาก แทบจะให้ตุลาการเข้ามาบริหารประเทศแทนอยู่แล้ว
หนังสือพิมพ์เศรษฐกิจหมายเลขต้นๆ ของไทยพาดหัวว่า “ไทยหลุดโผประเทศน่าลงทุน เครดิตเร็ตติ้งวูบ..”
เรียก เสียงฮากันไปทั่วโลก เพราะชาติสมัยใหม่ทุกวันนี้ ต่างสนใจที่จะยกระดับประเทศตัวเองให้ก้าวหน้าทันสมัย เพื่อเข้าแข่งขันกับโลกที่กำลังเปลี่ยนไปทุกวัน วิธีเข้าสู่อำนาจของเกือบทุกประเทศ ต่างก็เลือกเอาการเลือกตั้งเป็นกติกาหลัก
แต่ ประเทศไทยยุคใหม่นี้กำลังเดินหวนกลับไปสู่โลกยุคเก่า พยายามล้มรัฐบาลประชาธิปไตย พยายามล้มเลือกตั้ง หรือทุกวิถีทางที่จะนำประเทศไปสู่การเป็นรัฐบาลเผด็จการหรือนายกรัฐมนตรี คนกลางที่ประชาชนไม่ได้เลือก
ขณะ นี้ ภาพเหล่านั้นกำลังชัดขึ้นทุกขณะ แต่เป็นภาพที่ทำให้ดูเหมือนว่า เมืองไทยคือนิติรัฐ ทุกอย่างใช้กฎหมายตัดสิน ข้อหาเล็กๆน้อยๆ(เพราะควานหาข้อหาที่ใหญ่พอมาเล่นไม่ได้) ถูกนำมาใช้โค่นล้มรัฐบาล
เมือง ไทยแท้ที่จริง เป็นเมืองแห่งเสียงกระซิบนินทา บางฝ่ายแอบซุ่มอยู่หลังม่าน เสียงกระซิบล่าสุดบอกมาว่า ยิ่งลักษณ์ไม่ใช่แค่ต้องออกจากตำแหน่งอย่างเดียว แต่ต้องไม่ลงเลือกตั้ง ถึงขั้นเว้นวรรคไปในครั้งนี้เลย
เพราะ ระยะเวลาที่ทุกองค์กรอิสระและม็อบต่างก็ไล่กระทืบ ทุบตี กระชากผม ฉีกเนื้อยิ่งลักษณ์ออกเป็นชิ้นๆ อยู่นั้น ได้ทำให้ความรู้สึกของประชาชนเปลี่ยนไปมาก เพราะจู่ๆ เรตติ้งของยิ่งลักษณ์สูงขึ้นอย่างน่าวิตก
นี่ เป็นสิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์ทั้งพรรคหวาดหวั่น เพราะขืนปล่อยให้ผู้หญิงโง่ๆ นี่ลงสมัครปาร์ตี้ลิสต์เบอร์ 1 เมื่อใด ประชาธิปัตย์ก็คงประสบกับหายนะครั้งใหญ่แน่และอาจจะหนักกว่าเดิมด้วยซ้ำไป นี่เป็นราคาที่พรรคต้องจ่ายในราคาที่แพงมาก
พรรคฯ เหลืออีกไม่กี่ทาง อันดับแรก รอองค์กรอิสระช่วยสอย ใส่ร้ายโดยไม่ต้องมีหลักฐาน หรือไม่ก็ต้องบี้กองทัพพร้อมอาวุธสงครามครบมือทั้งบก เรือ อากาศ ให้ช่วยกันไล่ล่ายิ่งลักษณ์ ถ้าจำเป็นก็อาจต้องจับตาย
ผู้ หญิงอะไรก็ไม่รู้ ทำให้ทุกองค์กรที่ทรงอิทธิพลที่สุดในเมืองไทย รวมทั้งม็อบที่ยิ่งใหญ่เป็นมวลมหาประชาชนระดับโลก เหนื่อยหอบกันแทบลมจับ ถ้าโค่นเธอลงได้เมื่อไร ทุกฝ่ายคงแฮ็ปปี้ รู้สึกว่า ตัวเองเป็น “แมน”ขึ้นมาทันที-ฮา!