AP/thestar – เมื่อวันเสาร์ (19 พ.ค.) “สตาร์บัคส์” (Starbucks) ร้านกาแฟสัญชาติอเมริกันชื่อดัง ได้ประกาศนโยบายองค์กรใหม่ที่อนุญาตให้ทุกคนสามารถนั่งอยู่ในร้านกาแฟหรือใช้ห้องสุขาได้แม้ว่าจะไม่ได้ซื้ออะไรจากร้านเลยก็ตาม
นโยบายใหม่นี้เกิดขึ้นคล้อยหลังห้าสัปดาห์จากเหตุการณ์ที่ชายผิวสีสองคนซึ่งมานั่งในสตาร์บัคส์โดยไม่ได้ซื้ออะไรจากร้านและถูกจับกุมที่ฟิลาเดลเฟีย
ผู้บริหารของบริษัทกล่าวว่า นโยบายก่อนหน้านี้มีความหละหลวมและคลุมเครือ ทำให้การตัดสินใจว่าผู้คนสามารถนั่งอยู่ในร้านค้าหรือใช้ห้องสุขาได้หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับผู้จัดการร้าน
สตาร์บัคส์กล่าวว่า บริษัทได้แจ้งให้พนักงานเคารพทุกคนที่เดินเข้าไปในร้านในฐานะลูกค้า “โดยไม่คำนึงว่าพวกเขาจะซื้อสินค้าหรือไม่”
บริษัทกล่าวว่า ทุกคนสามารถใช้บริการร้านกาแฟหรือห้องสุขาโดยไม่จำเป็นต้องซื้ออะไร แต่ให้ข้อสังเกตกับ พนักงานว่าควรติดต่อเจ้าหน้าตำรวจถ้ามีบุคคลที่เป็นภัยคุกคามด้านความปลอดภัย
สตาร์บัคส์กล่าวในแถลงการณ์ว่า “เรามุ่งมั่นที่จะสร้างวัฒนธรรมแห่งความอบอุ่นและเป็นที่ซึ่งทุกคนยินดีต้อนรับ”
ชายผิวสีสองคนถูกจับกุมในฟิลาเดลเฟีย เมื่อวันที่ 12 เมษายนที่ผ่านมา ขณะกำลังรอบุคคลที่สามเพื่อประชุม หนึ่งในนั้นถูกปฏิเสธการใช้ห้องสุขาเพราะเขาไม่ได้ซื้ออะไรจากร้าน พนักงานได้โทรเรียกตำรวจมา ชายสองคนถูกจับกุม พวกเขาใช้เวลาหลายชั่วโมงในคุกก่อนที่จะได้รับการปล่อยตัว
เหตุการณ์ดังกล่าวได้ถูกถ่ายคลิปวิดีโอไว้และโพสต์บนโลกโซเชียลจนกลายเป็นไวรัล และสร้างความเสื่อมเสียต่อร้านกาแฟชื่อดังแห่งนี้อย่างมาก
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา สตาร์บัคส์ได้วางตัวเองว่าเป็นบริษัทที่ใส่ใจต่อสังคม และโปรโมทตนเองว่าเป็นสถานที่พบปะกันที่ใกล้บ้าน
ในการตอบสนองต่อการจับกุมดังกล่าว สตาร์บัคส์กล่าวว่าจะปิดร้านมากกว่า 8,000 แห่งในสหรัฐฯ ในบ่ายวันที่ 29 พฤษภาคมนี้เพื่อฝึกอบรมพนักงานของบริษัทเกี่ยวกับเรื่องอคติทางเชื้อชาติ
ชายที่ถูกจับกุมได้ตกลงกับสตาร์บัคส์เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมาโดยได้รับค่าชดเชยที่ไม่เปิดเผยและข้อเสนอการศึกษาในระดับวิทยาลัยฟรี พวกเขายังได้รับการจ่ายชดเชยเชิงสัญลักษณ์ในมูลค่า 1 เหรียญจากส่วนปกครองฟิลาเดลเฟีย และสัญญาจากเจ้าหน้าที่ของเมืองในการจัดตั้งโครงการสำหรับผู้ประกอบการรุ่นใหม่มูลค่า 200,000 เหรียญ