บันทึกของ มร.แฮมเฟอร์ มีดังนี้ :
ภาค 1
เป็นระยะเวลาอันยาวนานที่รัฐบาลอังกฤษ ได้ทำการวิเคราะห์อยู่เสมอว่า จะทำอย่างไรที่จะพิทักษ์รักษาอาณาจักรอันยิ่งใหญ่ของตนให้คงอยู่ตลอดไปเหมือนที่เป็นอยู่ในวันนี้ ซึ่งหากเปรียบเทียบ อังกฤษกับประเทศล่าอาณานิคมอื่นๆ อีกมากมายที่เรานั้นสามารถเข้าไปมีบทบาทและมีอิทธิพล นับตั้งแต่ อินเดีย จีน ประเทศแถบตะวันอออกกลางหรืออื่นๆ ถือว่าเราเป็นประเทศที่เล็ก มาตรแม้นว่า บทบาทและภารกิจบางอย่างที่สำคัญในประเทศต่างๆเหล่านั้น เรายังไม่สามารถที่จะทำการควบคุมและเข้าไปมีบทบาทอย่างเต็มที่ก็ตาม เพราะภารกิจต่างๆ ภายในประเทศนั้น ประชาชนเป็นผู้ดำเนินการด้วยตนเอง แต่ในเชิงการเมืองแล้ว ถือว่าเราประสบความสำเร็จและได้รับชัยชนะเพราะการล่มสลายของประเทศเหล่านั้นขึ้นอยู่ภายใต้น้ำมือของเรา ดังนั้น เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้ จำเป็นสำหรับเราที่ต้องทำการพิจารณาและวิเคราะห์ ใน 2 ประเด็น ดังนี้
1. พื้นที่ ที่เราสามารถยึดครองและมีบทบาทแล้วนั้น ต้องเพิ่มมาตรการในการรักษามันไว้
2. พื้นที่ ที่เรายังไม่สามารถเข้าไปมีบทบาทและเข้ายึดครองได้นั้น จะต้องพยายามต่อไปเพื่อให้ได้มันมา
ด้วยเหตุนี้ทางกระทรวงอาณานิคมได้มีนโยบายเฉพาะของแต่ละประเทศและได้จัดให้มีสภาพิเศษ เพื่อทำการศึกษา วิเคราะห์ หาบทสรุปในสองประเด็นดังกล่าว
สำหรับตัวข้าพเจ้าถือว่าโชคดีเป็นอย่างมาก เพราะก้าวแรกที่ได้เข้ามาในกระทรวงนี้ ก็ได้รับความไว้วางใจเป็นพิเศษจากรัฐมนตรี
รัฐมนตรีว่าการได้มอบหมายหน้าที่ให้ข้าพเจ้าเข้าไปดูแลในบริษัทอินเดียซักร์ บริษัทนี้หากมองจากรูปลักษณ์ภายนอก จะเป็นการทำธุรกิจแบบธรรมดาทั่วๆ ไป แต่ในความเป็นจริงนั้น มีเป้าหมายที่ชัดเจนที่แอบแฝงซ่อนเร้นอยู่ นั่นคือการหาแนวทาง เพื่อที่จะเข้าไปมีอิทธิพล มีบทบาทให้มากยิ่งขึ้นและครอบครองอินเดียและชมพูทวีป
รัฐบาลอังกฤษมีความเชื่อมั่นว่า อินเดียจะยังคงอยู่ภายใต้การปกครองของเขาตลอดไป อันเนื่องด้วยในอินเดีย มีชนชาติ เชื้อสาย เผ่าพันธุ์ และภาษาที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงจึงมองไม่เห็นแม้แต่วี่แววของแนวทางใดๆ ในการปลดปล่อยให้ได้รับอิสรภาพอย่างแท้จริงได้
สำหรับจีนนั้น รัฐบาลอังกฤษก็มีความเชื่อมั่นเป็นลักษณะนี้เช่นกัน เพราะชนส่วนใหญ่ในประเทศนี้จะนับถือศาสนาพุทธและกุนฟูซิยูน และก็มีบทบาทอย่างสูงอีกด้วยแต่ทว่าทั้ง 2 ศาสนานั้น เปรียบเสมือนกับศาสนาที่ตายแล้วซึ่งไม่มีชีวิตชีวา ไม่ใส่ใจเรื่องของสังคมและความเป็นอยู่ จะมีเพียงแค่เรื่อง จิตวิญญาณเท่านั้น
ดังนั้นแรงจูงใจและแรงผลักดันที่จะเกิดการลุกขึ้นต่อสู้และการปลุกระดมนั้น เป็นไปได้ยากอย่างแน่นอน
เหตุผลดังกล่าว จึงทำให้รัฐบาลอังกฤษ ไม่ค่อยหวาดวิตกกับ 2 ประเทศดังกล่าวเท่าใดนัก แต่ทว่าในอนาคตภายภาคหน้า อาจจะเป็นไปได้ที่จะมีเหตุการณ์หรือการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นจึงทำให้ฝ่ายเราเองก็ไม่ละเลยและนิ่งนอนใจต่อสิ่งที่จะเกิดขึ้น โดยเราได้วางแผนในเชิงระยะยาวเอาไว้ ซึ่งมีทั้งการสร้างความขัดสน ยากจน โง่เขลา หรือบางทีอาจจะต้องใช้การแพร่กระจายเชื้อโรค ทั้งนี้ทั้งนั้นเพื่อให้เรามีอิทธิพลมากยิ่งขึ้น เพื่อให้การดำเนินการตามแผนเดินไปอย่างราบรื่นและไม่มีอุปสรรคปัญหา เราจึงต้องปกปิดเจตนารมณ์เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนซื่งการอำพรางตัวของเรา แต่ความเป็นจริงแล้วมันเต็มไปด้วยความลุ่มลึกและมั่นคง
ลักษณะการเช่นนี้สอดคล้องกับคำสุภาษิตคำหนึ่งของพุทธศาสนาที่ว่า : แม้ว่ายาจะขมสักเพียงใด เราก็ต้องทำให้คนไข้นั้นมีความรักในการกิน ดังนั้นเราจึงต้องดำเนินการอย่างละเอียดในทุกๆขั้นตอน
อิสลามคือตัวอุปสรรคปัญหาสำหรับเรา
สิ่งหนึ่งที่ทำให้ความคิดและแผนการของเรานั้นหวั่นไหว คือ บรรดาประเทศอิสลามทั้งหลายแม้นว่าเราได้ทำสนธิสัญญากับชายผู้ป่วยไข้ ราชวงค์อุษมานียะฮ์ เป็นที่เรียบร้อยแล้วและเราเป็นผู้ได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่เพียงฝ่ายเดียว แต่บรรดาผู้เชี่ยวชาญของกระทรวงมีความเชื่อว่าราชวงค์อุษมานียะฮ์จะต้องล่มสลายและอยู่ได้ไม่เกินหนึ่งศตวรรษ
เช่นเดียวกันเราได้ทำสนธิสัญญาอย่างลับๆ กับรัฐบาลอิหร่านและได้ผลิตสายลับในสองประเทศนี้อีกทั้งยังได้สร้างให้เกิดระบบคอรัปชั่นและสร้างความเสื่อมเสียในหน่วยงานราชการและให้บรรดากษัตริย์หมกมุ่นรื่นเริงอยู่กับนางบำเรอ
แต่ทว่าด้วยกับเหตุผลบางประการดังนี้ที่ทำให้เรานั้นไม่ค่อยจะมั่นใจถึงผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น
เหตุผลที่ 1 พลังอำนาจของอิสลามที่มีอยู่ในใจของมวลมุสลิม
เพราะบุคคลที่เป็นมุสลิมนั้นเขาจะน้อมรับคำสั่งสอนของอิสลามโดยดุษณี โดยที่มนุษย์สามารถประจักษ์เห็นถึงอิทธิพลและบทบาทของอิสลามที่มีเหนือสามัญชนที่เป็นมุสลิมและสิ่งนี้ก็เหมือนกับการเข้าไปมีบทบาทของศาสนาคริสต์ในตัวของนักพรตเช่นกัน ที่ยอมพลีชีวิตแต่ไม่ยอมที่จะละทิ้งศาสนา และการมีอยู่ของมุสลิมนิกายชีอะฮ์ในอิหร่านนั้นสร้างความหวาดกลัวอย่างยิ่งสำหรับเราเพราะบรรดาชีอะฮ์ถือว่าพวกคริสเตียนนั้นเป็นสิ่งโสโครกที่จะต้องชำระล้าง นะญิส เหมือนกับว่าเมื่อครั้นที่มือของเราได้สัมผัสกับสิ่งสกปรกเราจะต้องพยายามชำระให้สะอาดและชีอะฮ์ก็มีทัศนะคติเช่นนี้ คือ จะต้องออกห่างจากชาวคริสเตียน
มีอยู่วันหนึ่งข้าพเจ้าได้ถามชีอะฮ์คนหนึ่งว่า ทำไมชาวชีอะฮ์จึงมีทัศนะคติที่รุนแรงต่อชาวคริสเตียน?
เขาตอบว่า
ท่านศาสดาแห่งอิสลามเป็นผู้ที่มีวิทยปัญญา และ ด้วยวิทยปัญญาของท่านจึงได้ทำการบีบบังคับผู้ปฏิเสธทั้งหลาย เพื่อที่จะให้พวกเหล่านั้นได้ศึกษาค้นคว้าและวิจัยในเรื่องราวของอิสลาม เพื่อจะได้หลุดพ้นจากความเชื่อ และ การปฏิบัติตามสิ่งงมงาย อันเป็นเหตุที่จะได้รับทางนำอันเที่ยงตรง และ หันหน้าเข้าสู่พระองค์
ซึ่งในลักษณะเช่นนี้เราก็สามารถเห็นในกรณีที่รัฐบาลรู้สึกตัวว่า ภัยอันตรายของบุคคลหนึ่งที่คุกคามอำนาจรัฐ ก็จะทำการกดดันบีบคั้นให้เขาผู้นั้นยอมมอบตัวและปฏิบัติตามรัฐ
สิ่งสกปรกที่กล่าวมานั้นมิได้เจาะจงเฉพาะชาวคริสเตียนเท่านั้น แต่มันยังครอบคลุมทุกๆ คนที่ปฏิเสธพระผู้เป็นเจ้า แม้แต่ชาวมะยูซี (พวกบูชาไฟ) ที่เป็นชาวเปอร์เซียในอดีตและตามทัศนะของอิสลามถือว่าพวกเขาเหล่านั้นเป็นสิ่งสกปรก (นะญิส)
ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า: ชาวคริสเตียนก็มีความศรัธาต่อพระเจ้า ศาสนทูตและโลกหน้าเช่นกัน แล้วทำไมจึงยังกล่าวหาว่า พวกเขาเหล่านั้นเป็นนะญิส
เขาตอบว่า: ด้วยสาเหตุ 2 ประการ
ประการแรก คือ ชาวคริสเตียนได้ปฏิเสธการเป็นศาสดาของมูฮัมหมัดและการกระทำในลักษณะเช่นนี้ เสมือนกับพวกเขากล่าวว่า ศาสดามูฮัมหมัดเป็นคนโกหก ดังนั้นเพื่อตอบโต้ข้อกล่าวหาดังกล่าว พวกเราจึงกล่าวว่า: พวกคุณ ชาวคริสเตียนนั้นแหละเป็นนะญิส และสติปัญญาของมนุษย์เองก็ได้ให้การยอมรับว่า: ผู้ใดก็ตามที่ทำให้เจ้าเดือดร้อน เจ้าก็มีสิทธที่จะทำให้เขาผู้นั้นได้รับความเดือดร้อน
ประการที่สอง: ชาวคริสเตียนได้กล่าวหาและใส่ร้ายป้ายสีต่างๆ นานา แก่ บรรดาศาสนทูต เช่น -: นบีอีซาได้ดื่มเหล้าและถูกสาปแช่ง จนทำให้ถูกตรึงไว้ที่ไม้ กางแขน
ข้าพเจ้าได้ตอบด้วยความตกตะลึงว่า -: ชาวคริสเตียนมิได้มีความเชื่อลักษณะเช่นนี้
เขาตอบว่า -: คุณยังไม่รู้, เพราะชาวคริสเตียนได้มีการพูดจากันในสิ่งที่ถูกบันทึกไว้ในคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์
ข้าพเจ้าได้นั่งเงียบ ในขณะที่มีความเชื่อมั่นว่า ชายชีอะห์ผู้นี้ได้พูดความจริงเพียงแค่ประเด็นแรกแต่พูดโกหกในประเด็นที่สอง ซึ่งข้าพเจ้าไม่อยากที่จะทำการถกเถียงกับเขาอีกต่อไป เพราะเกรงกลัวว่าเขาจะสงสัยในตัวข้าพเจ้าที่ปลอมตัวเป็นมุสลิมและข้าพเจ้าจะหลีกห่างจากการใช้ความรุนแรงในการถกเถียงอยู่เสมอ
เหตุผลข้อที่ 2 -: อิสลามเป็นศาสนาที่มีชีวิตชีวาและมีบทบาทอิทธิพลอย่างสูงต่อโลกและการที่บุคคลหนึ่งซึ่งเคยเป็นนายมาก่อนนั้น ถือว่าเป็นสิ่งที่ยากในการที่จะกล่าวว่า เขา คือ บ่าว เพราะการลุ่มหลงและถือตัวว่าเป็นนายใหญ่นั้น มันจะเป็นตัวขับเคลื่อนให้มนุษย์ใฝ่หาสิ่งที่เหนือกว่าอยู่เสมอ มาตรแม้นว่ามันจะไม่เข้มข้นก็ตามที ดังนั้นเราจึงไม่สามารถที่จะทำการบิดเบือนประวัติศาสตร์ของอิสลามได้ เพื่อให้บรรดามุสลิมนั้นเข้าใจและรับรู้ว่า การที่เขาเป็นนายใหญ่นั้น ก็เพราะสถานการณ์ได้เอื้ออำนวยเป็นพิเศษ ซึ่งสถานการณ์ในลักษณะเช่นนี้จะไม่ปรากฏซ้ำและย้อนกลับมาหาอีกต่อไป
เหตุผลข้อที่ 3 -: เรายังไม่ค่อยมั่นใจต่อวงศ์วานแห่งอุษมานียะห์และผู้ปกครองแห่งเปอร์เซียเท่าใดนัก เพราะเกรงกลัวว่าอาจจะมีวันหนึ่งที่พวกเขาตื่นตัวขึ้นมาแล้วก่อตัวกับขบวนการหนึ่งเพื่อลุกขึ้นต่อสู้และทำให้แผนการของเราต้องล่มสลาย ถึงแม้นว่าทั้งสองรัฐบาลที่เราเคยกล่าวมาแล้วข้างต้นนั้นกำลังถดถอยลงสู่ความล่มสลายก็ตามที แต่ด้วยการที่มีรัฐบาลเพียงหนึ่งเดียวที่เป็นศูนย์กลางแก่การปกครอง สำหรับปวงชนและมีทั้งนายใหญ่ ทรัพย์สิน และอาวุธในมือของพวกเขาก็สร้างความหวาดวิตกกับผู้อื่นเป็นปรกติธรรมดาได้เช่นกัน
เหตุผลข้อที่ 4 -: เรามีความวิตกต่อบรรดานักการศาสนาของมุสลิมเป็นอย่างมาก เพราะบรรดานักการศาสนาแห่ง อัซฮัร นักการศาสนาแห่งอิรัก และนักการศาสนาแห่งอิหร่านนั้นเปรียบเสมือนกำแพงที่คอยขวางกั้น แนวทางการทำงานที่จะบรรลุวัตถุประสงค์ของเรา , พวกเขาไม่ค่อยมีความรู้ในแบบแผนการดำเนินชีวิตยุคสมัยใหม่ แต่สิ่งเดียวที่พวกเขารับรู้และเป็นเป้าหมายสำหรับเขา คือ สวรรค์ที่ อัล-กุรอาน ได้ทรงสัญญาไว้เท่านั้น ดังนั้นไม่ว่าจะกรณีใดก็ตามพวกเขาจะไม่มีวันละทิ้งความเชื่อถือและความศรัทธาของเขาอย่างเด็ดขาด , อีกทั้งประชาชนยังเชื่อฟังและปฏิบัติตามเขา และฝ่ายรัฐบาลเอง (ปกครอง) ก็มีความหวาดกลัวยิ่งต่อบรรดานักการศาสนาเหล่านี้เสมือนกับที่หนูกลัวแมวฉันนั้น
แม้ว่ามุสลิมอะห์ลุลซุนนะห์จะถือว่าบรรดาผู้ปกครองทั้งหลาย คือ อุลิลอัมร์ที่จะต้องปฏิบัติตาม แต่สำหรับชาวชีอะห์มีความเชื่อว่า บรรดานักการศาสนาเท่านั้นที่มีสิทธิอันชอบธรรมในการปกครองและมีอำนาจอย่างแท้จริง และจะไม่ให้ความสำคัญแก่ระบบการปกครองแบบซุลตานทั้งสิ้น
ความแตกต่างระหว่างสองนิกายนี้ มันมิได้ทำให้กระทรวงล่าอาณานิคมโดยเฉพาะบรรดากษัตริย์แห่งอังกฤษหมดกังวลและหวาดวิตกแต่อย่างใด ดังนั้นทางฝ่ายเราจึงได้มีการจัดสัมมนาอย่างจริงจังเพื่อหาแนวทางที่จะให้ประสบกับความสำเร็จและสามารถพิชิตอุปสรรคปัญหาต่างๆ เหล่านี้ให้ได้ แต่ทว่ากลับเจอกับทางตันเกือบทุกครั้งที่มีการสัมมนา
อีกทั้งเมื่อเราได้รับรายงานจากสายต่างๆ ของเราก็ยิ่งทำให้เรานั้นหมดหวังและท้อถอย มันเสมือนกับผลของการประชุมในทุกๆ ครั้งของเราที่ไม่สามารถหาบทสรุปใดๆ ได้เลย
แต่ทว่าด้วยกับการที่เราถูกฝึกฝนให้เป็นอุปนิสัยของผู้ที่มีความหวังอยู่เสมอนั้น จึงทำให้เราต้องอดทน มุ่งมั่น ไม่ย่อท้อที่จะทำงานต่อไป โดยไม่ยอมให้สภาพความสิ้นหวังเหล่านี้มาครอบงำจิตใจของเราเป็นอันขาด
ข้าพเจ้ายังจำได้ว่าครั้งหนึ่งที่เราได้มีการประชุมสัมมนา ซึ่งมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวง บรรดานักวิชาการและบาทหลวงที่มีชื่อเสียงโด่งดัง โดยรวมแล้ว มีผู้เข้าร่วมในครั้งนี้ ประมาณ 20 คน ใช้เวลาในการประชุม 3 ชั่วโมง โดยที่หาบทสรุปไม่ได้
ทำให้บาทหลวงท่านหนึ่งได้พูดขึ้นมาว่า : จงอย่าท้อถอยและสิ้นหวังเพราะกว่าที่พระเยซูจะได้ทำการปกครองนั้น ทั้งตัวท่านเองและบรรดาสาวกของท่านต้องถูกกดขี่ทารุณกรรมต่างๆ นาๆ เป็นระยะเวลา 300 ปีและเราหวังว่าพระเยซูจะทรงเมตตาต่อเรา ในการที่จะสามารถขับไล่ผู้ปฏิเสธพระเจ้า ทั้งหลายออกจากศูนย์กลางการปกครองเขา ถึงแม้ว่าจะยาวไกลอีก 300 ปีข้างหน้าก็ตาม ดั้งนั้นเราจะต้องเพียบพร้อมทั้งความเชื่อมั่นที่มั่นคงและความอดทนอันทรงกล้าแล้วนำเอาสื่ออำนวยความสะดวกต่างๆ มาใช้ในการเผยแผ่ศาสนาคริสต์และเข้าไปมีบทบาทอย่างเต็มที่ในบรรดาประเทศมุสลิมทั้งหลายให้ได้ ถึงแม้นว่าความสำเร็จที่จะได้รับนั้นจะต้องใช้เวลานับศตวรรษก็ตามที เพราะสิ่งเหล่านี้ถือว่าเป็นหน้าที่ของผู้เป็นบิดาในการเตรียมพร้อมความสะดวกสบายให้กับบรรดาลูกๆ อยู่เสมอ
การพบปะระหว่างตัวแทนอังกฤษ ฝรั่งเศส และรัสเซีย
มีอยู่ครั้งหนึ่งได้มีการจัดประชุมที่กระทรวงการล่าอาณานิคม และได้มีตัวแทนจาก อังกฤษ ฝรั่งเศส และรัสเซีย เข้าร่วมประชุมครั้งนี้ด้วย
บรรดาผู้เข้าร่วมประชุมมีทั้งนักการเมืองและบาทหลวงและถือว่าโชคดียิ่งสำหรับข้าพเจ้าที่ได้มีโอกาสเข้าร่วมประชุมในครั้งนี้ด้วยเพราะมันได้สร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างข้าพเจ้ากับรัฐมนตรีว่าการอีกด้วย
ผู้เข้าร่วมประชุมแต่ละท่านได้นำเสนออุปสรรค์ปัญหาต่างๆ ของมุสลิมที่มีพวกเขาได้ประสบ และหาแนวทางที่จะสร้างความแตกแยกให้เกิดขึ้นระหว่างกัน อีกทั้งยังต้องเปลี่ยนหลักความเชื่อของมุสลิม เพื่อให้บรรดามุสลิมเหล่านั้นเข้ามารับศาสนาคริสต์เหมือนกับชาวสเปนหลังจากที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของมุสลิมแล้วยังกลับมาอยู่ภายใต้คริสต์ศาสนาอีกครั้ง แต่ทว่าการประชุมมันไม่ได้บรรลุผลตามเป้าหมายที่คาดหวังไว้ ซึ่งรายละเอียดต่างๆ ของที่ประชุมในครั้งนี้ข้าพเจ้าได้บันทึกในหนังสือเล่มหนึ่งที่มีชื่อว่า หนทางสู่โลกแห่งจิตวิญญาณ (มะลากูต)
แน่นอนการที่จะถอนรากเหง้าที่ฝังลึกในตัวมุสลิมนั้น เป็นสิ่งที่ยากลำบากแต่ไม่ว่าจะยากลำบากมากแค่ไหน จะด้วยอุปสรรคปัญหามากมายสักเพียงใด เราก็จะต้องฝ่าฟันอุปสรรค์เหล่านี้ไปให้ได้ ศาสนาคริสต์มิได้ถูกส่งลงมาเพื่อทำการเผยแผ่สาส์นอย่างเดียวและพระเยซูเองก็ได้มอบพันธะสัญญาเหล่านี้กับพวกเราทั้งหลายแล้ว
สำหรับในยุคสมัยของมูฮัมหมัดนั้น มันมีสถานการณ์ที่เอื้ออำนวยในการช่วยเหลือเพื่อให้รุ่งโรจน์ในการเผยแพร่ น่้นคือความล้าหลังถดถอยของตะวันออกและตะวันตก ดังนั้นหากสถานการณ์ที่เอื้ออำนวยเหล่านี้หมดไป อิสลามก็จะล่มสลายอย่างแน่นอน ณ วันนี้กระดานอันนั้นได้ถูกเปลี่ยนไปแล้ว สำหรับบรรดาผู้นับถือมูฮัมหมัดทั้งหลายกำลังจะล่มสลายและล้าหลัง ด้วยเหตุนี้ ณ ปัจจุบันนี้เป็นช่วงเวลาแห่งการล้างแค้นและมันคือช่วงเวลาแห่งการได้กลับคืนสิ่งที่สูญหายไปนับศตวรรษ โดยเฉพาะยุคสมัยปัจจุบันมีรัฐบาลอังกฤษเป็นผู้นำที่คอยควบคุมดูแลขบวนการอันศักดิ์สิทธ์ครั้งนี้อย่างใกล้ชิด
…..
อ่านต่อตอนต่อไป