บันทึกของ “มร.แฮมเฟอร์” : สายลับอังกฤษในดินแดนออตโตมัน (2)

ภาคที่ 2

ภารกิจข้าพเจ้าในประเทศตุรกี

ในปี 1710 ค.ศ.  ทางกระทรวงล่าอาณานิคมได้ส่งข้าพเจ้าไปยังประเทศอียิปต์ อิรัก เตหะราน ฮิญาซ  และตุรกี  เพื่อรวบรวมและหาข้อมูลในการเสริมสร้างแนวทางสร้างความแตกแยกระหว่างพี่น้องมุสลิมด้วยกัน

และเพื่อเข้าไปมีบทบาทในประเทศอิสลามให้ได้มากยิ่งขึ้น  ในช่วงเวลานั้นเองทางกระทรวงได้จัดส่งบุคลากรที่เชี่ยวชาญของกระทรวงอีก 9 คน ยังประเทศต่างๆ ของอิสลาม  อันมีวัตถุประสงค์เดียวกัน คือ สร้างอิทธิพลและบทบาทให้มากยิ่งในประเทศเหล่านี้

ทางกระทรวงได้จัดงบประมาณและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ มากมายให้กับเรา  และยังได้ให้ข้อมูล  แผนที่  รายชื่อของผู้ปกครองและบรรดาอุลามะห์  และหัวหน้าเผ่าพันธุ์ต่างๆ เพื่อความสะดวกสบายในการปฏิบัติภารกิจของเรา

คำพูดสุดท้ายของเลขาธิการที่ได้กล่าวอำลาด้วยชื่อของ พระเยซู  ยังคงอยู่ในความทรงจำของข้าพเจ้าตลอด  ที่กล่าวว่า -: อนาคตอันสดใสของประเทศนั้นขึ้นอยู่กับความสำเร็จของพวกคุณทุกๆ ท่าน ดังนั้นตราบใดที่พวกคุณทั้งหลายมีพลังความสามารถที่จะปฏิบัติภารกิจได้ก็จงรีบปฏิบัติเสีย

หลังจากนั้นข้าพเจ้าก็ได้เดินทางไปยังศูนย์กลางแห่งการปกครองของอิสลามในยุคสมัยนั้น (คือ ตุรกี) ในการเดินทางครั้งนี้ลำดับแรกข้าพเจ้าต้องเรียนเสริมภาษาตุรกีให้สมบูรณ์ก่อน “ซึ่งเป็นภาษาท้องถิ่นที่บรรดามุสลิมในพื้นที่นั้นใช้” เพราะก่อนหน้านั้นสมัยที่ข้าพเจ้าอยู่ที่กรุงลอนดอนนั้น ข้าพเจ้าก็เคยเรียนภาษาตุรกี อาหรับ และเปอร์เซียมาบ้างแล้ว การเรียนรู้ภาษาถือว่า เป็นประเด็นหนึ่ง  และการสันทัดภาษา “เหมือนกับเจ้าของภาษาพูดกัน” ก็เป็นอีกประเด็นหนึ่ง  จะอย่างไรก็ตามแต่ การเรียนรู้ภาษาหนึ่งภาษาใดมันใช้เวลาเพียงไม่กี่ปี  แต่ทว่า การสัดทัดภาษานั้นจำเป็นต้องใช้ระยะเวลาเพิ่มเป็นอีกสองเท่า  ดังนั้นจำเป็นสำหรับข้าพเจ้าที่จะต้องเรียนรู้ภาษาตุรกีให้ได้อย่างสมบูรณ์  เพื่อมิให้เกิดความคลางแคลงสงสัยใดๆ ในตัวข้าพเจ้า 

แต่ทว่าด้วยกับเหตุผลบางประการเหล่านี้ จึงทำให้ข้าพเจ้าไม่ค่อยหวาดวิตกกังวลสักเท่าใด เพราะบรรดามุสลิม  “เหมือนกับที่ท่านศาสดาของพวกเขาได้กำชับและสั่งสอน” มีจิตใจเอื้อเฟื้อ เมตตา โอบอ้อมอารี และมองคนในแง่ดีเสมอ ดังนั้นบรรดามุสลิมจึงไม่มีความระหวาดระแวงเหมือนกับพวกเรา และอีกแง่มุมหนึ่งทางฝ่ายรัฐบาลของตุรกี ไม่มีความสามารถพอที่จะสืบเสาะ ค้นพบสายลับของเราได้ ดังนั้นจึงสร้างความมั่นใจให้ข้าพเจ้ามากยิ่งขึ้น

หลังจากที่เดินทางอย่างเหน็ดเหนื่อย  ในที่สุดข้าพเจ้าก็ได้ถึงจุดหมายปลายทาง คือ ตุรกี และได้เปลี่ยนชื่อตัวเองว่า มุฮัมมัด  ข้าพเจ้าพักอยู่ในมัสยิดแห่งหนึ่ง “เป็นศูนย์กลางแห่งการเคารพภักดีพระผู้เป็นเจ้า” ณ สถานที่แห่งนั้นทำให้ข้าพเจ้ามีความฉงนใจอย่างยิ่งถึงความสะอาด ความมีระเบียบกฎเกณฑ์และความเคร่งครัดในการเคารพภักดียังพระผู้เป็นเจ้า จึงได้พูดกับตัวเองว่า -: 

เหตุใดเราจึงต้องมาเป็นศัตรูกับบุคคลเหล่านี้ด้วย? เหตุใดเราจึงต้องสร้างความแตกแยกให้เกิดขึ้นในหมู่พวกเขาด้วย? ท่านพระเยซูได้สั่งสอนให้เรากระทำเช่นนี้หรือ?

แต่ว่าความคิดอันสกปรกชั่วร้ายเหล่านี้ ก็มิอาจทำลายความตั้งใจของข้าพเจ้าได้  ดังนั้นจึงตั้งใจอย่างเด็ดเดี่ยวและมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติภารกิจอันนี้ให้ลุล่วงสำเร็จให้ได้

ข้าพเจ้าได้พบกับอุลามะห์อาวุโสท่านหนึ่งมีชื่อว่า อะกอ อะห์มัด ซึ่งเขามีบุคลิกภาพที่ดี  สุภาพอ่อนโยน  นอบน้อมถ่อมตน  ซึ่งบุคคลลักษณะเช่นนี้ในบรรดานักการศาสนาของเรานั้นหาได้ยากและเขาผู้นี้ได้พยายามฝึกฝนตัวเองทั้งกลางวันและกลางคืนเพื่อให้เหมือนกับจริยวัตรของท่านศาสดา เพราะท่านศาสดา คือ แบบอย่างแบบฉบับที่ดีที่สุดและสมบูรณ์ที่สุดสำหรับเขา  ทุกครั้งเมื่อเอ่ยนามของศาสดา เขาจะร้องไห้เสมอ  ถือว่าโชคดีมากสำหรับข้าพเจ้าที่เขามิเคยถามถึงเชื้อสาย เรียงนามของข้าพเจ้าเลยแม้แต่สักครั้งเดียว  เขาจะเรียกข้าพเจ้าว่า “อะกอมุฮัมมัด” อยู่เสมอ  เขาจะตอบคำถามและสอนข้าพเจ้าทุกๆ ครั้งที่ข้าพเจ้าถามเขา  อีกทั้งเขายังเมตตาเอ็นดูต่อข้าพเจ้าเป็นพิเศษ  เพราเขาถือว่าข้าพเจ้าเป็นแขกผู้มาเยือนประเทศเขา  และเพื่อมาทำงานใช้ชีวิตอยู่ภายใต้ร่มเงาของซุลต่านผู้เป็นตัวแทนของท่านศาสดามุฮัมมัด (ซึ่งความจริงแล้วสิ่งนี้เป็นเพียงแค่ เหตุผลที่ข้าพเจ้าแอบอ้างในการอยู่ที่เมืองนี้)

ข้าพเจ้าได้พูดกับเชคว่า -: ข้าพเจ้าเป็นเด็กกำพร้าทั้งพ่อและแม่  และไม่มีญาติพี่น้องด้วย  แต่ว่าพ่อแม่ของข้าพเจ้าได้ทอดทิ้งมรดกให้  ดังนั้นข้าพเจ้าจึงตัดสินใจว่าจะทำงานและควบคู่กับการศึกษาอัล-กุรอาน   และเป็นแบบฉบับของท่านศาสดาอีกด้วย  จึงตัดสินใจเดินทางมายังศูนย์กลางของอิสลาม เพื่อจะเรียนรู้ ทางธรรมและทางโลก  “วิชาการทางศาสนาและทำมาหากินไปด้วย”

หลังจากข้าพเจ้าได้พูดจบ เชคได้พูดด้วยอัธยาศัยที่ดีงามว่า -: 

การที่เราต้องเคารพและให้เกียรติคุณก็เพราะสาเหตุบางประการดังนี้ -:

1. เพราะว่าคุณเป็นมุสลิม และมุสลิมนั้นเปรียบเสมือนพี่น้องกัน

2.  เพราะว่าคุณเป็นแขกผู้มาเยือนของเรา  ซึ่งท่านศาสดาได้กล่าวว่า… จงทำการต้อนรับและให้ความเคารพแขกของพวกเจ้าให้ดี

3.  เพราะว่าคุณเป็นผู้แสวงหาความรู้  และศาสนาอิสลามได้เน้นย้ำเตือนเป็นพิเศษในการให้เกียรติกับนักเรียนศาสนา

4.  เพราะว่าคุณ คือ ผู้แสวงหา ปัจจัยยังชีพ ซึ่งมีรายงานฮาดิษกล่าวว่า ผู้แสวงหาปัจจัยยังชีพนั้น คือ มิตรสหายของพระเจ้า

คำพูดของเชคทำให้ข้าพเจ้าถึงกับตกตะลึงจึงพูดกับตัวเองว่า: มันช่างเป็นสิ่งที่ดีงามยิ่งหากคำสั่งสอนเหล่านี้มีอยู่ในศาสนาคริสต์! 

อีกประการหนึ่งที่สร้างความประหลาดใจ ต่อตัวข้าพเจ้าเช่นกัน ก็คือว่า ไฉนศาสนาอิสลามที่มีหลักคำสอนอันสูงส่งจึงต้องตกอยู่กับผู้ปกครองที่อหังการและนักการศาสนาที่โง่เขลาไม่ทันสมัย!  อันนำมาซึ่งความอ่อนแอและความล้าหลังให้กับอิสลาม!

จากนั้นข้าพเจ้าได้บอกเชคว่า : ข้าพเจ้าต้องการจะเรียนรู้คัมภีร์อัลกุรอาน คำพูดนี้สร้างความปลื้มปิติยินดีแก่เชคเป็นอย่างมาก จึงทำให้เขาเริ่มสอนคัมภีร อัล-กุรอาน  เริ่มจาก ซูเราะห์อัล-ฟาตีฮะห์ พร้อมทั้งได้สอนอธิบายความหมายด้วย

บางครั้งในการออกเสียงให้ถูกต้องนั้นเป็นสิ่งที่ยากลำบากพอสมควรสำหรับข้าพเจ้า มีอยู่ครั้งหนึ่งข้าพเจ้าจำได้ว่า: ประโยคนั้นข้าพเจ้าไม่สามารถที่จะอ่านได้อย่างถูกต้องจึงต้องพยายามอ่านซ้ำเป็นสิบๆ ครั้งในหนึ่งสัปดาห์ เพราะเชคได้บอกว่า โองการนี้จะต้องอ่านในรูปแบบของการหน่วงเสียง (อิดฆอม)  เพราะมีตัวอักษร มีม ที่ต้องออกเสียงอยู่ถึง 8 ตัว ด้วยกัน

จะอย่างไรก็ตามข้าพเจ้าใช้ระยะเวลา 2 ปี ในการเรียนรู้ศึกษาอัล-กุรอานกับเชคจนจบเล่ม ทุกครั้งก่อนที่เชคจะสอนอัล-กุรอานแก่ข้าพเจ้า เขาจะเอาน้ำละหมาดเหมือนกับการอาบน้ำละหมาดก่อนที่จะทำการละหมาด อีกทั้งเชคยังได้สั่งกำชับแก่ข้าพเจ้าด้วยว่าให้เอาน้ำละหมาดเหมือนกับเขาโดยที่ต้องหันหน้าไปยังทิศทางกิบลัต

ต้องกล่าวในที่นี้ด้วยว่า การเอาน้ำละหมาดในมุมมองของมุสลิมนั้น คือ เป็นรูปแบบของการชำระล้าง เริ่มจากการล้างใบหน้า  มือขวา มือซ้ายและเช็ดศรีษะ และเช็ดใบหูและล้างเท้าทั้งสองข้าง และพวกเขายังกล่าวด้วยว่าเป็นการที่ดีก่อนเอาน้ำละหมาดให้บ้วนปาก สูดน้ำให้เข้าในจมูก (อิสตินซาค)

แต่สิ่งหนึ่งที่สร้างความยากลำบากแก่ข้าพเจ้า  คือ  การแปรงฟันก่อนที่จะเอาน้ำละหมาด   บรรดามุสลิมจะทำการแปรงฟันโดยใช้ไม้ชนิดหนึ่งถูฟันให้สะอาดก่อน  ตามความเชื่อส่วนตัวของข้าพเจ้าแล้ว  สิ่งนี้ไม่เพียงแต่จะไม่ทำให้สะอาดแล้ว  ยังจะส่งผลเสียต่อฟันเสียด้วยซ้ำ  ในบางครั้งปากของข้าพเจ้าเป็นแผลและมีเลือดไหลออกมา  แต่ทว่าก็ต้องจำยอมกระทำในลักษณะเช่นนี้  เพราะว่า  การแปรงฟันเป็นคำสั่งที่ถูกเน้นย้ำเป็นกรณีพิเศษตามทัศนะของพวกเขา  อีกทั้งท่านศาสดามุฮัมมัดได้กำชับให้มวลมุสลิมนั้นต้องปฏิบัติ เพราะมีคุณประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกาย

ช่วงเวลาที่ข้าพเจ้าพำนักอยู่ในเมืองตุรกีนั้น ข้าพเจ้าได้อยู่กับสัปบุรุษมัสยิดคนหนึ่ง โดยที่ข้าพเจ้าได้ให้ค่าตอบแทนเป็นเงินเล็กน้อยแก่เขา เขาเป็นคนที่มีอุปนิสัยห้าวหาญ  ซึ่งมีชื่อว่า มัรวาน (มัรวาน เป็นสาวกท่านหนึ่งของท่านศาสดามุฮัมมัด) เขาจะภาคภูมิใจยิ่งที่ได้ชื่ออันนี้เพราะถือว่า เป็นชื่อที่เป็นสิริมงคล และเขายังได้พูดกับข้าพเจ้าอยู่เสมอว่า -: หากพระเจ้าทรงประทานลูกชายให้กับคุณก็จงตั้งชื่อนี้ให้กับลูก เพราะมัรวานเป็นหนึ่งในอัครสาวกที่ยิ่งใหญ่และเป็นนักรบของอิสลาม

ทุกคืนเขาจะเป็นคนที่เตรียมอาหารค่ำให้กับข้าพเจ้าเสมอและจะร่วมกินด้วยกัน  ในวันศุกร์ข้าพเจ้าจะไม่ไปทำงาน “ตามทัศนของมุสลิมถือว่า วันศุกร์เป็นวันอีดวันหนึ่ง” ส่วนวันอื่นๆ ก็จะไปทำงานตามปรกติ ข้าพเจ้าทำงานอยู่กับช่างไม้คนหนึ่งที่มีชื่อว่า คอลิด และได้รับค่าจ้างที่น้อยนิดโดยที่เขาจะให้ค่าจ้างเป็นรายสัปดาห์ ข้าพเจ้าจะทำงานเพียงแค่ครึ่งวันเท่านั้น

ช่วงว่างงานคอลิด (ผู้เป็นช่างไม้) ก็จะเล่าเรื่อง ชีวประวัติของคอลิด บินวะลีด  อย่างเรื่อยเปื่อยไร้สาระให้ข้าพเจ้าฟังทุกครั้งว่า  คอลิด  คือ  สาวกคนหนึ่งของท่านศาสดาและเป็นผู้บุกเบิกประตูชัยให้กับอิสลาม  เขายังได้พูดอีกว่าคอลิดได้ผ่านบททดสอบต่างๆ ได้อย่างดี  และบางทีเขาพูดกับตัวเองด้วยความเศร้าเสียใจว่า -: สมัยที่อุมัร บินคอตต๊อบ เป็นผู้ปกครองนั้นได้ปลดคอลิดออกจากตำแหน่ง ซึ่งเหตุการณ์นี้สร้างความไม่พึงพอใจต่อตัวเขา

คอลิดผู้เป็นช่างไม้มีอุปนิสัยที่เลวทรามและห้าวหาญอย่างสุดๆ แต่ทว่าเขาได้ไว้วางใจข้าพเจ้า โดยที่ข้าพเจ้าเองก็ไม่อาจรู้ด้วยว่าเพราะเหตุใด อาจเป็นเพราะว่าข้าพเจ้าเชื่อฟังเขาตลอดเวลา ไม่ว่าจะเรื่องการงานภายในร้านหรือแม้แต่ในเรื่องราวของศาสนาซึ่งข้าพเจ้าไม่เคยพูดจาถกเถียงใดๆ กับเขาเลย ก็อาจเป็นไปได้

ทุกครั้งที่ข้าพเจ้าอยู่คนเดียวในร้าน เขาจะเรียกร้องให้ข้าพเจ้ามีการร่วมเพศสัมพันธ์กันแบบรักร่วมเพศ  (ลิวาต)  ซึ่งการกระทำลักษณะเช่นนี้ตามทัศนะของมุสลิมถือว่าเป็นบาปอย่างมหันต์ เหมือนกับที่เชคเคยสอนข้าพเจ้า แต่ทว่าเพราะธาตุแท้ของ คอลิดเป็นคนที่ไม่เอาศาสนาเท่าใด จึงไม่ค่อยจะให้ความสำคัญต่อบทลงโทษ

แต่ภาพลักษณ์ภายนอกนั้นเขาจะแสดงออกถึงการมีศาสนา โดยเฉพาะเมื่อได้อยู่กับเพื่อนฝูง เขาจะไปละหมาดวันศุกร์ตลอดไม่เคยขาด แต่สำหรับวันอื่นๆ นั้นข้าพเจ้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาได้ทำการละหมาดหรือไม่

ข้าพเจ้าได้ปฏิเสธคำเชิญชวนอันนี้ของคอลิด และยังคิดด้วยว่า คอลิดคงเคยสำเร็จความใคร่ในลักษณะเช่นนี้กับคนงานบางคนของเขามาแล้วหลายราย เพราะข้าพเจ้าเห็นว่าจะมีชายหนุ่มที่หล่อเหลา ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของเขาคนหนึ่ง เดิมที่เป็นชาวยิวแต่เข้ารับอิสลาม จะเดินเข้าออกหลังร้านซึ่งเป็นที่นัดพบกับคอลิดเป็นประจำ ซึ่งทั้งสองได้อ้างว่าเพื่อไปดูความเรียบร้อยของคลังเก็บสินค้า แต่ข้าพเจ้าคิดว่าทั้งสองได้ไปร่วมสำเร็จความใคร่ในสถานที่แห่งนั้นอย่างแน่นอน

ข้าพเจ้าจะกินอาหารมื้อเที่ยงในร้าน และจะเดินไปละหมาดที่มัสยิดและจะอยู่ในมัสยิดจนถึงเวลาละหมาดอัศรี หลังจากทำการละหมาดอัศรีเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็จะเดินทางมุ่งหน้าไปยังบ้านของ เชคอะห์มัดทันที เพื่อเรียนคัมภีร์ อัล-กุรอาน  ภาษาตุรกี และภาษาอาหรับ เป็นเวลา 2 ชั่วโมง

ทุกๆ วันศุกร์ ข้าพเจ้าจะให้ซะกาตแก่เขา ซึ่งอันที่จริงแล้วการให้ซะกาตของข้าพเจ้านั้นเสมือนเป็นการให้สินบนแก่เขาภายในตัว เพื่อสร้างความสัมพันธภาพที่ดีระหว่างเรา และเพื่อเขาจะได้สอนข้าพเจ้ามากยิ่งขึ้น

ข้าพเจ้ายอมรับว่าท่านเชคได้สอนคัมภีร์อัล-กุรอาน  รากฐานของศาสนาภาษาอาหรับ และ ภาษาตุรกี ให้กับข้าพเจ้าอย่างเต็มที่

วันเวลาได้ผ่านพ้นไป เชคก็รู้ว่าข้าพเจ้ายังมิได้แต่งงาน ก็เลยเสนอแนะให้แต่งกับลูกสาวของตนเอง แต่ทว่าข้าพเจ้าปฎิเสธข้อเสนอดังกล่าวและได้พูดกับเขาว่าข้าพเจ้ามิใช่ชายชาตรีดังที่คุณคิดซึ่งคำตอบนี้เป็นคำอ้างข้อสุดท้ายหลังจากที่เชคได้คะยั้นคะยอและข่มขู่ว่า หากไม่ยอมแต่งงานแล้วความสัมพันธ์ระหว่างข้าพเจ้ากับเขาต้องจบสิ้นลงเพราะเชคพูดว่า การแต่งงานคือแบบฉบับของท่านศาสดา และท่านศาสดาได้กล่าวว่าผู้ใด้มิได้ปฏิบัติตามฉันเขาพวกนั้นมิใช่พวกของฉัน ด้วยเหตุผลข้อนี้ ข้าพเจ้าจึงต้องโกหกเรื่องขึ้นมาและการโกหกนี้เองทำให้เชคต้องยอมรับ และความสัมพันธ์อันดีงามของเราก็กลับมาเหมือนดั่งเดิมอีกครั้ง

เป็นเวลา 2 ปีเต็มที่ข้าพเจ้าใช้ชีวิตอยู่ในเมืองตุรกี และแล้วก็ได้ขออนุญาตจากเชคเพื่อเดินทางกลับถิ่นฐาน แต่ว่าเชคไม่ยอมอนุญาต และยังได้พูดอีกว่าจะกลับบ้านเกิดไปทำไมอีกเล่า? ในเมื่อเมืองนี้มีปัจจัยต่างๆ นานับประการ ซึ่งพระผู้เป็นเจ้าได้ทรงประทานมาทั้งทางด้านวัตถุ และทางธรรม (ศาสนา)

เชคยังพูดต่ออีกว่า เจ้าเคยกล่าวไว้ว่าเป็นเด็กกำพร้าพ่อแม่และไม่มีญาติพี่น้องมิใช่หรือ ? ดังนั้นเจ้าจงถือว่าที่นี่ คือบ้านเกิดเมืองนอนของเจ้าก็แล้วกัน ซึ่งเชคยังได้อ้อนวอนและโน้มน้าวให้ข้าพเจ้าอยู่ต่อไปอีกเพราะเชคมีความรัก ความผูกพันมากกับข้าพเจ้า และข้าพเจ้าเองก็เช่นกันทั้งรักและผูกพันกับเชคมาก แต่ทว่าด้วยภารกิจหน้าทีแห่งชาติที่มีอยู่นั้น จึงทำให้ข้าพเจ้าจำเป็นต้องกลับยังกรุงลอนดอนเพื่อรายงานความคืบหน้า เหตุการณ์ความเป็นอยู่ของศูนย์กลางการปกครองอย่างละเอียดและก็รับคำสั่งใหม่ในการดำเนินการเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ต่อไป

โปรแกรมด้วยรวมของข้าพเจ้านั้นถือว่า ในทุกๆ เดือนข้าพเจ้าจะส่งรายงานความก้าวหน้าของการดำเนินภารกิจให้ กระทรวงล่าอนานิคมได้รับรู้

ข้าพเจ้ายังจำได้ว่า ครั้งหนึ่งที่ได้เขียนรายงาน และ เล่าเหตุการณ์ ในกรณีที่คอลิด ได้ เชิญชวนให้มีการรักร่วมเพศ (ลิวาต) กับเขา ซึ่งทางฝ่ายกระทรวงได้เขียนจดหมายตอบส่งมาว่า หากการกระทำสิ่งนี้ คือการร่วมเพศกับชายด้วยกันมันเป็นการช่วยเหลือให้คุณบรรลุถึงเป้าหมายได้แล้วถือว่าคุณสามารถกระทำได้โดยไม่มีปัญหา

เมื่อข้าพเจ้าได้อ่านคำตอบนั้นเหมือนกับว่า โลกกำลังหมุนรอบศีรษะข้าพเจ้า และทำให้ข้าพเจ้าฉงนใจ และ ประหลาดใจยิ่งว่าเหตุใดบรรดาหัวหน้าจึงได้มีคำสั่ง อุบาทวิปริต แก่ข้าพเจ้าเช่นนี้?! แต่สำหรับตัวข้าพเจ้าแล้ว มันไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากจะต้องปฏิบัติภาระกิจเหล่านี้ต่อโดยที่เก็บเรื่องนี้เป็นความลับ มิให้ใครได้รับรู้เป็นอันขาด

ในวันที่ข้าพเจ้าจะอำลาจากเชคนั้นเห็นสีหน้าอันเศร้าหมองของเชค ซึ่งเชคได้พูดออกมาพร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมา ว่า ขอให้พระผู้เป็นเจ้าทรงคุ้มครองลูกด้วยเถิด และ ถ้าหากว่าวันใดที่คุณผ่านมายังเมืองนี้ และ ได้รับรู้ว่า ผมได้ตายไปแล้วนั้นก็ให้คุณรำลึกถึงผมด้วยเพราะอีกไม่นานเราทั้งสองจะได้พบเจอกัน ณ เบื้องหน้าของท่านศาสดา

ซึ่งคำพูดเหล่านี้ของเชคทำให้จิตใจของข้าพเจ้าหวั่นไหวยิ่งหนักถึงกับได้ร่ำไห้ออกมาแต่ทว่าภารกิจนั้นมันสำคัญยิ่งกว่าความรู้สึก