อัลจาซีรา – จอร์แดนประสงค์จะเรียกคืนดินแดนสองแห่งที่ได้ให้อิสราเอลเช่าภายใต้สนธิสัญญาสันติภาพ ปี 1994 (พ.ศ.2537) กษัตริย์อับดุลเลาะห์ที่ 2 แห่งจอร์แดนประกาศ ซึ่งได้รับการต้อนรับจากนักเคลื่อนไหวและกลุ่มประชาสังคมที่ต่อต้านข้อตกลงนี้
ส่วนหนึ่งของข้อตกลงนี้ ได้ให้อิสราเอลเช่าที่ดินการเกษตรจำนวน 405 เฮกตาร์ (ประมาณ 2,531 ไร่ /1 เฮกตาร์ ประมาณ 6 ไร่ 1 งาน) ในเขตภาคใต้อิสราเอลบริเวณชายแดนประเทศจอร์แดน ที่เรียกว่า “อัลกูมาร์” (al-Ghumar) และรวมทั้ง “อัลบากูรา” (al-Baqura) พื้นที่ขนาดเล็กที่อยู่ใกล้จุดบรรจบของแม่น้ำจอร์แดนและแม่น้ำยาร์มูก (Yarmouk)
ดินแดนแห่งนี้ เป็นพิ้นที่อุดมไปด้วยน้ำซึ่งเกษตรกรชาวอิสราเอลใช้เพาะปลูกอยู่ในปัจจุบัน ถูกเช่าเป็นเวลา 25 ปีโดยมีระยะเวลาแจ้งล่วงหน้า 12 เดือนเพื่อป้องกันไม่ให้มีการต่อสัญญาโดยอัตโนมัติ กำหนดเส้นตายสำหรับการต่ออายุสัญญาเช่าคือวันพฤหัสบดีที่ 25 ตุลาคม
“เราได้แจ้งให้อิสราเอลทราบแล้วถึงการยุติการใช้สนธิสัญญาสันติภาพที่เกี่ยวข้องกับอัลบากูรา และ อัลกูมาร์” กษัตริย์อับดุลเลาะห์กล่าวเมื่อวันอาทิตย์ (21 ต.ค.) ตามรายงานของ Petra สำนักข่าวแห่งชาติจอร์แดน
“อัลบากูรา และ อัลกูมาร์ มีความสำคัญอย่างยิ่งเสมอมาสำหรับข้าพเจ้า การตัดสินใจของเราคือจะยุติภาคผนวกของสนธิสัญญาสันติภาพ ซึ่งวางอยู่บนพื้นฐานความกระตือรือร้นของเราที่จะทำทุกสิ่งอย่างที่จำเป็นสำหรับประเทศจอร์แดนและชาวจอร์แดน” กษัตริย์กล่าวเสริม
“อัลบากูรา และ อัลกูมาร์ เป็นดินแดนของชาวจอร์แดน และจะยังคงเป็นของชาวจอร์แดน”
หลังจากการประกาศของกษัตริย์อับดุลเลาะห์ นายเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล กล่าวว่า อิสราเอลจะเจรจากับจอร์แดนเพื่อต่ออายุสัญญาเช่าดังกล่าวซึ่งจะสิ้นสุดในปีหน้า
“เราจะเข้าสู่การเจรจาต่อรองกับ [จอร์แดน] เพื่อหาตัวเลือกในการต่อสัญญาเช่าที่มีอยู่” สื่ออิสราเอลอ้างคำพูดของเขา
ไม่ชัดเจนว่า อย่างไรและเมื่อไหร่ที่ดินแดนเหล่านี้จะกลับคืนสู่ความเป็นเจ้าของของจอร์แดน ดินแดนเหล่านี้อยู่ภายใต้การควบคุมของอิสราเอลมาตั้งแต่ปี 1948 (พ.ศ. 2491)

แรงบีบคั้นที่เพิ่มขึ้น
จอร์แดนเป็นเพียงหนึ่งในสองประเทศอาหรับที่ลงนามในสนธิสัญญาสันติภาพกับอิสราเอล – อีกประเทศคืออียิปต์
ผู้สังเกตการณ์กล่าวว่า การประกาศของกษัตริย์ครั้งนี้คาดว่าจะได้เสียงตอบรับในเชิงบวกจากประชาชนจอร์แดนท่ามกลางการเพิ่มความพยายามของนักเคลื่อนไหวและกลุ่มประชาสังคมที่มุ่งเป้าไปที่การบังคับให้รัฐบาลยุติการให้เช่าดินแดนของจอร์แดนต่ออิสราเอล
คำประกาศนี้เกิดขึ้นคล้อยหลังหนึ่งสัปดาห์หลังจากที่ 85 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจอร์แดนลงนามในคำร้องกระตุ้นให้กษัตริย์เข้าแทรกแซงเพื่อไม่ให้มีการต่ออายุสัญญาเช่าดังกล่าว ตามที่ “คาลิล อาตีเยะห์” (Khalil Atiyeh) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจอร์แดนกล่าว
“เป็นเวลากว่าหนึ่งปีแล้วที่เราได้เรียกร้องให้มีการยกเลิกข้อตกลงฉบับนี้ ซึ่งมันไม่ใช่ผลประโยชน์ของประเทศจอร์แดนหรือชาวจอร์แดนเลย” อาตีเยะห์กล่าวกับอัลจาซีรา
อูเรบ อัลรันตาวี (Oraib al-Rantawi) นักวิเคราะห์การเมืองในกรุงอัมมาน ประเทศจอร์แดน กล่าวว่า “กษัตริย์มองเห็นการปฏิเสธอย่างแพร่หลายในการรักษาข้อตกลงนี้กับอิสราเอล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งการตกต่ำของเศรษฐกิจในประเทศทำให้เกิดการประท้วงอย่างรุนแรง – และพระองค์ตัดสินพระทัยอย่างชาญฉลาดในเรื่องนี้”
ชาวจอร์แดนที่โกรธเคืองหลายพันคนพากันออกมาบนท้องถนนในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เพื่อประท้วงการปรับขึ้นราคาสินค้า พระราชบัญญัติปฏิรูปภาษีเงินได้ และการทุจริตในหมู่ข้าราชการ ในประเทศที่มีอัตราความยากจนและอัตราการว่างงานระดับชาติอยู่ที่ประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์
นักกิจกรรมทางการเมือง ฮุสซาม อับดัลลัต (Hussam Abdallat) ยกย่องการตัดสินใจของกษัตริย์อับดุลเลาะห์ ว่า จะทำให้พระองค์ “เป็นที่รักของสาธารณชน”
ซุฟยาน อัลเตล (Sufyan al-Tell) อดีตเจ้าหน้าที่ด้านสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติและนักวิจารณ์ปากกล้าต่อสนธิสัญญาสันติภาพอิสราเอล – จอร์แดนกล่าวกับอัลจาซีราว่า การประกาศของกษัตริย์แห่งจอร์แดนนั้น “ทันเวลาและสะท้อนถึงเจตนารมณ์ของชาวจอร์แดน”
ความรู้สึกต่อต้านอิสราเอลของสาธารณชนในจอร์แดนทวีความแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ อันเนื่องจากการยึดครองของอิสราเอลต่อดินแดนปาเลสไตน์อย่างต่อเนื่องและการปฏิบัติที่โหดร้ายต่อชาวปาเลสไตน์