นักกิจกรรมมุสลิมแถวหน้าของมาเลเซีย “ดร.อะหมัด ฟารุก มูซา” กล่าวว่า เจ้าหน้าที่มุสลิมในพรรคแนวร่วมแห่งชาติ (Barisan Nasional) ซึ่งเป็นแนวร่วมทางการเมืองในมาเลเซีย ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงวิธีการของพวกเขา ที่ยังคงแบ่งแยกและกดทับชนกลุ่มน้อยทางศาสนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อสำนักคิด “ชีอะห์” ซึ่งถูกติดป้ายว่าเป็นกลุ่ม “เบี่ยงเบน” จากเจ้าหน้าที่อิสลามในท้องถิ่น
“ดร.อะหมัด ฟารุก มูซา” (Dr Ahmad Farouk Musa) นักกิจกรรมจากองค์กรอิสลามิก เรอเนสซองส์ ฟร้อนท์ (Islamic Renaissance Front – IRF) ผู้ซึ่งได้ออกมาพูดต่อต้านหน่วยงานบังคับใช้ศาสนาอิสลามในมาเลเซียอย่างสม่ำเสมอ กล่าวว่า ในขณะที่รัฐบาลแนวร่วมแห่งความหวัง (Pakatan Harapan) ทำได้ดีในแง่ของการกำจัดการทุจริตและฟื้นฟูเศรษฐกิจ แต่ฝ่ายบริหารกิจการศาสนาอิสลามก็ยังคงต้องรับมือกับจุดอ่อนเดียวกัน
เขากล่าวว่า ตัวอย่างเช่น ชาวมุสลิมชีอะห์ ยังคงถูกแบ่งแยกผ่านพิธีละหมาดวันศุกร์ประจำสัปดาห์ รวมทั้งการบุกตรวจค้นในการชุมนุมของพวกเขา
เขาบอกว่า มันได้มาถึงขั้นที่ชาวมุสลิมเหล่านั้น ซึ่งไม่ได้ถูกนับเป็นสมาชิกมุสลิมในการตีความอย่างเป็นทางการ มีสถานะที่เลวร้ายยิ่งกว่าเมื่อเทียบกับคนที่ไม่ใช่มุสลิมในมาเลเซีย
“ถ้าคุณบอกว่า ชาวคริสเตียนถูกจำกัดไม่ให้สร้างไม้กางเขนบนอาคารของพวกเขา หรือว่าสิทธิของพวกเขาที่จะแสดงความศรัทธาในพื้นที่สาธารณะจะถูกจำกัด เช่นนั้นชาวมุสลิมชีอะห์และอะห์มาดียะห์ (Ahmadi) ก็เผชิญกับสิ่งที่เลวร้ายกว่ามากนัก” เขากล่าวกับ สื่อ ฟรีมาเลเซียทูเดย์ ในระหว่างการประชุมเกี่ยวกับความคลั่งไคล้ศาสนาและชนกลุ่มน้อยเมื่อวานนี้ (10 พ.ย.61)
ฟารุกกล่าวว่า รัฐบาลยังไม่เด็ดเดี่ยวในการจัดการกับการบิดเบือนภาพลักษณ์ (demonization) ต่อชาวมุสลิมชีอะห์ พร้อมเสริมว่า พวกเขามีสิทธิตามรัฐธรรมนูญในการปฏิบัติตามความเชื่อของพวกเขา
“ภายใต้รัฐธรรมนูญทุกคนมีสิทธิที่จะยอมรับและปฏิบัติตามหลักศาสนาของตน ดังนั้นจึงเป็นเรื่องผิดและขัดต่อรัฐธรรมนูญ ที่จะจำกัดชาวมุสลิมชีอะห์จากการปฏิบัติตามความศรัทธาของพวกเขา” เขากล่าว
“เราอยู่ในศตวรรษที่ 21 ถ้าเราคิดว่าศรัทธาของเราเป็นความเชื่อที่ถูกต้องที่สุด ทำไมเราจึงกลัวที่จะปล่อยให้คนอื่นปฏิบัติตามความเชื่อของพวกเขา? “เขาตั้งคำถาม
เขาเรียกร้องให้รัฐบาลจากพรรคแนวร่วมแห่งความหวังว่า อย่าเดินในเส้นทางของรัฐบาลก่อนหน้านี้ที่ “พูดอย่างหนึ่งแต่ความหมายอีกอย่าง” (double-speak) ในประเด็นศาสนา
เขากล่าวว่า เช่น กรณีฝ่ายบริหารของนาจิบ ราซัค ที่โปรโมททางสายกลาง (moderation) ในเวทีระหว่างประเทศ แต่ในขณะเดียวกันก็มีการยับยั้งกลุ่มศาสนาปีกขวา
“รัฐบาลนี้จะต้องไม่ตกอยู่ในนิสัยแบบเดียวกันนั้น” ฟารุกกล่าว
ฟารุก กล่าวว่า สถานการณ์ปัจจุบันเป็นผลมาจากการบิดเบือนรัฐธรรมนูญอย่างค่อยเป็นค่อยไป แม้จะมี “รัฐโลกวิสัย พหุสังคม และความเป็นประชาธิปไตย” เป็นฐานรากก็ตาม
เขากล่าวว่า “มาเลเซียใหม่” ควรจะหลีกออกไปจากแนวคิด “ฝ่ายขวาและแนวคิดเป็นเลิศเหนือกว่าผู้อื่น” (right-wing and supremacis) โดยต้องให้เป็นเรื่องที่วางอยู่บนสิทธิมนุษยชนสากล
อย่างไรก็ตาม ฟารุกกล่าวว่า เขายังไม่คิดว่าการเล่าเรื่องใหม่ๆ นี้จะมาจากนักการเมือง
“เป็นเรา ประชาชนที่ต้องต่อสู้เพื่อสิ่งนี้ เราไม่สามารถพึ่งพานักการเมืองผู้ที่สนใจแต่ผลประโยชน์ของตัวเอง” ดร.ฟารุก กล่าว