TRDworld – “ฟารีด อะหมัด” ผู้ซึ่งภรรยาของตน “ฮุสนา อะหมัด” ถูกสังหารในการโจมตีของผู้ก่อการร้ายชาวนิวซีแลนด์กล่าวว่า เขาไม่ได้เกลียดชัง เบรนตัน ทาร์แรนท์ มือปืนก่อเหตุกราดยิงมัสยิด และยืนยันว่าการให้อภัยเป็นหนทางที่ดีที่สุด
“ผมจะบอกเขาว่า ‘ผมรักเขาในฐานะคนๆ หนึ่ง'” ฟารีด อะหมัด บอกกับสำนักข่าวเอเอฟพี
“ผมไม่สามารถยอมรับสิ่งที่เขาทำ สิ่งที่เขาทำนั้นเป็นสิ่งที่ผิด”
เมื่อถูกถามว่าเขาให้อภัยผู้ก่อการร้ายวัย 28 ปีหรือไม่ เขาตอบว่า “แน่นอน สิ่งที่ดีที่สุดคือการให้อภัย ความเอื้ออาทร ความรักและความห่วงใย การคิดบวก”
ฮุสนา อะหมัด อายุ 44 ปีถูกฆ่าตายที่มัสยิดอัลนูร์ – เป็นหนึ่งในสองคนแรกที่ตกเป็นเป้าโดยผู้ถือลัทธิคนผิวขาวสูงส่งยิ่ง (white supremacist)
ผู้ถูกฆ่าตายในการโจมตีมัสยิดที่ผู้ละหมาดได้ไปวันศุกร์ มีจำนวนห้าสิบคน ในจำนวนนี้อย่างน้อยสี่คนเป็นสตรี
‘เธอกำลังสาละวนอยู่กับการช่วยชีวิต’
อะหมัดและภรรยาอพยพจากบังคลาเทศมาที่นิวซีแลนด์ในปี 1990 และมีลูกสาวหนึ่งคน
เมื่อการยิงโจมตีเริ่มต้นขึ้น ฮุสนาช่วยคนหลายคนหลบหนีออกจากห้องโถงที่มีผู้หญิงและเด็ก
“เธอตะโกนว่า “มาทางนี้ รีบเข้ามา” แล้วเธอก็พาเด็กๆ และผู้หญิงหลายคนไปยังสถานที่ซึ่งปลอดภัย” อะหมัดกล่าว
“ จากนั้นเธอกลับมาเพื่อตรวจสอบเกี่ยวกับผม เพราะผมอยู่ในรถเข็น และเมื่อเธอเข้าใกล้ประตูเธอก็ถูกยิง เธอกำลังสาละวนอยู่กับการช่วยชีวิตโดยไม่คิดถึงตัวเอง”
อะหมัด อายุ 59 ปีซึ่งต้องนั่งอยู่ในรถเข็นตั้งแต่ถูกคนเมาแล้วขับชนในปี 1998 เชื่อว่าเขารอดพ้นจากลูกกระสุนเพราะผู้ก่อการร้ายมุ่งเป้าไปที่เป้าหมายอื่น
“ผู้ชายคนนี้ยิงคนหนึ่งสองสามครั้ง นั่นอาจเป็นช่วงเวลาที่เราจะหนี … แม้แต่คนที่ตายแล้วเขาก็ยิงพวกเขาซ้ำอีกครั้ง”
อะหมัดซึ่งเคยเป็นคนขายเนื้อ แต่ตอนนี้ขายผลิตภัณฑ์การแพทย์โฮมิโอพาธี (homeopathy) ไม่เห็นภรรยาของเขาเมื่อเขาออกจากมัสยิด และรู้เรื่องการเสียชีวิตของเธอหลังจากที่มีคนถ่ายรูปร่างของเธอ
“รูปของเธอออกมาในโซเชียลมีเดีย พอมีคนนำภาพมาแสดงให้ผมดู และผมก็ระบุตัวตนเธอได้ง่ายมาก”
‘ผมไม่มีความเคืองแค้นใดๆ ‘
เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา อะหมัดต้องเผชิญกับภารกิจที่ยากลำบากในการระบุตัวตนของภรรยาอย่างเป็นทางการ
เขาพูดเสียงแผ่วเบา ดวงตาของเขามีร่องรอยของความโศกเศร้าอย่างหนัก เขาพูดด้วยความรักกับภรรยาของเขา
หากเขาสามารถพูดคุยกับฆาตกรได้เขาบอกว่า เขาจะสนับสนุนให้เขาคิดใหม่เกี่ยวกับมุมมองชีวิตของเขา
“ ผมจะบอกเขาว่า ภายในตัวของเขา เขามีศักยภาพที่ยิ่งใหญ่ในการที่จะเป็นคนใจกว้าง เป็นคนจิตใจดี เป็นคนที่ช่วยชีวิตผู้คน ช่วยมนุษยชาติมากกว่าจะทำลายพวกเขา” เขากล่าว
“ ผมต้องการให้เขามองหาทัศนคติเชิงบวกในตัวเขา ผมหวังและผมจะสวดภาวนาให้เขา เขาจะเป็นพลเรือนที่ยิ่งใหญ่ในวันหนึ่ง ผมไม่มีความขุ่นแค้นใด ๆ เลย”