ยอมรับว่า แรกๆผมเฝ้าดูม็อบกำนันสุเทพแล้วก็อดขำไม่ได้ เพราะสิ่งที่แกเรียกร้องอะไรอยู่นั้น ก็เป็นที่รู้กันว่า แกทำมาแล้วทั้งนั้นแหละน่า
เช่น ความไม่โปร่งใสในยุคแจกที่ดินสปก-401ให้เศรษฐี,คดีให้ลูกชายบุกรุกที่ดินป่า สงวน,คดีโรงพักตร.ร้าง สิ่งเหล่านี้เป็นลักษณะของการคอรัปชั่นที่ม็อบกำนันสุเทพเกลียดชังเหลือ เกิน จนถึงคดีสั่งสังหารผู้บาดเจ็บล้มตายไปนับร้อยนับพันคนเมื่อปี2553
น่า ประหลาดและน่าขันแบบขื่นขมตรงที่ว่า ชาวกรุงและชาวเมือง ตลอดจนไฮโซ และคนชั้นนำทั้งหลายในสังคมไทย ช่างซีเรียส เอาเป็นเอาตายกับเรื่องคอรัปชั่นซึ่งยังพิสูจน์อะไรไม่ได้มากเหลือเกิน
ความ เชื่อเหล่านั้น สำคัญยิ่งกว่าการบาดเจ็บล้มตายอย่างโหดร้ายทารุณกลางเมืองของคนบ้านนอกคอกนา ที่เข้ามาเรียกร้องความเป็นธรรมจากรัฐบาลคนเมืองที่มีกำนันสุเทพเป็นผู้นำคน สำคัญในครั้งนั้น(แถมยังตายไปอีก4-5 ศพล่าสุด เมื่อคืน 30พ.ย.ที่หน้าม.รามฯก็ไม่มีใครเหลือบแล)
แรกๆ ที่นำม็อบออกมา กำนันสุเทพแกบอกว่า กำลังใช้สิทธิตามระบอบประชาธิปไตย เมื่อแกลาออกจากตำแหน่งในพรรคและลาออกจากส.ส. เสียงเรียกร้องแกก็ชัดขึ้นเป็นลำดับ ขณะที่หัวหน้าพรรคและคนในพรรคประชาธิปัตย์ก็สนับสนุนแกเต็มที่ จากการต่อต้านพรบ.นิรโทษกรรม กลายเป็นล้มรัฐบาล และไปกันใหญ่ถึงขั้นล้างระบอบทักษิณ
แม้ ผมจะชื่นชมผู้คนชาวกรุงเทพและที่เรียกกันว่า คนเมืองทั้งหลายที่ออกไปแสดงพลัง พร้อมกับลงรูป โพสต์เฟซบุ๊ค ทวิตเตอร์ ผลัดกันชมอย่างสนุกสนาน ไฮโซจำนวนไม่น้อยถึงขั้นทิ้งกิจการ สั่งลูกน้องไปร่วมม็อบโดยถือว่า ไม่มีความผิด แถมจะขึ้นเงินเดือนให้มากกว่าปกติ เรียกว่า เป็นเอามากทีเดียว
เช่น คุณเช็ค สุทธิพงษ์ ธรรมวุฒิ แห่งทีวีบูรพา เจ้าของรายการคนค้นคน คุณศักดิ์ชัย กาย เจ้าของนิตยสารลิปส์ และอื่นๆฯลฯ
เดือน สองเดือนมานี้ มีคนมาชวนผมไปถนนราชดำเนินกันมากมาย(แต่ผมไม่เอาด้วย เพราะมัวแต่ขำกำนันสุเทพ) ม็อบชุมนุมไปแล้วสองสัปดาห์ ใครจะไปนึกว่า คนที่ไปร่วมชุมนุมมา กลายเป็นคนสีหน้าเคร่งเครียด นัยน์ตาขวางๆไปเสียแล้ว
คน สวยคนหล่อจากวงการมายาดูเหมือนจะกลายเป็นคนโมโหร้ายไปเสียฉิบ โมโหรัฐบาลยิ่งลักษณ์และระบอบทักษิณ(ซึ่งแปลเป็นภาษาคนว่าอะไรก็ไม่มีใคร รู้)ที่ต้องล้มล้างให้สิ้นซาก
การ รวมตัวครั้งนี้มีผู้คนเข้ามาร่วมมากมาย จนอาจจะเรียกว่า มหาศาลที่สุดในประวัติศาสตร์ก็ว่าได้ ว่ากันว่า จำนวนคนที่เข้าร่วมอาจจะมากกว่าช่วงเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 เสียอีก
การ เดินขบวนเรียกร้องที่นำโดยนิสิตนักศึกษาและประชาชนในกรุงเทพเมื่อ 40ปีที่แล้วในครั้งนั้น เป็นการเรียกร้องประชาธิปไตย จากรัฐบาลเผด็จการทหารที่ปกครองประเทศมายาวนานถึง10 ปี
สิ่ง ที่ผู้คนเมื่อ 40 ปีต้องการก็คือ ระบอบประชาธิปไตย ซึ่งมีการเลือกตั้งที่ประชาชนส่วนใหญ่เป็นผู้ตัดสินและใช้เสียงส่วนใหญ่ใน การปกครองประเทศ ไม่ใช่คนแค่คณะเดียว และไม่ใช่เฮฮาแต่งตั้งกันเองของตระกูลทหารเพียงไม่กี่ตระกูล
ตลอด 40 ปีของระบอบประชาธิปไตย มีแต่ล้มลุกคลุกคลาน เดี๋ยวเลือกตั้ง เดี๋ยวรัฐประหาร ประเดี๋ยวก็อาจเป็นกบฏ ติดคุกติดตะรางไปบ้าง
ตลอด 40 ปีนี้แหละที่พรรคประชาธิปัตย์มีบทบาทในการร่วมต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอยู่ ไม่น้อยจนได้เป็นรัฐบาลอยู่หลายครั้ง เช่น รัฐบาลม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช,นายชวน หลีกภัยและนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ(รัฐบาลชุดหลังสุดนี่ละที่เริ่มไม่เป็นประชาธิปไตย)
แต่ ขบวนการของกำนันสุเทพครั้งนี้ กลับทำสิ่งที่ตรงข้าม เพราะแกใช้สิทธิเสรีภาพอันศักดิ์สิทธิ์ของขบวนการประชาธิปไตย เรียกร้องให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์คืนอำนาจให้ประชาชนที่แกระดมมาล้านสองล้านคน โดยไม่สนคนอีก 14-15 ล้านคนที่เลือกพรรครัฐบาล
ระหว่าง เรียกร้อง กำนันสุเทพยังได้ตั้งสภาประชาชนขึ้น สุดท้ายก็ตั้งรัฐบาลประชาชน โดยใช้ม็อบบุกไปยึดกระทรวงการคลัง ทำเนียบรัฐบาล กองบัญชาการตำรวจนครบาล และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
สุดท้าย แกก็เปิดโผออกมาว่า สิ่งที่แกต้องการจริงๆก็คือ อำนาจเผด็จการ หรืออำนาจที่ไม่ใช่ประชาธิปไตย นายกรัฐมนตรีก็ต้องมาจากมาตรา 7 พูดง่ายๆว่า เป็นการเรียกร้องรัฐบาลเผด็จการนั่นแหละ เพราะสิ่งที่เรียกร้องหรือสิ่งที่กำนันสุเทพกระทำการอยู่นั้น อยู่นอกเหนือรัฐธรรมนูญโดยสิ้นเชิง(นี่ขนาดรัฐธรรมนูญเผด็จการปี 2550 ยังไม่กล้าเขียนไว้)
นี่ คือ คำตอบที่แท้จริงของเหตุการณ์ก่อม็อบที่เกิดขึ้นมาทั้งหมด ซึ่งนักคิดนักเขียน นักวิชาการ อธิการบดี คนดีศรีแผ่นดินทั้งหลาย จะได้กรุณาหงายเงิบ ภาษาลาวเรียกว่า “หงายหมา”กันทั้งหมดได้แล้ว เพราะสิ่งที่สุมหัวคิดกันหัวแทบแตกก็ไม่มีทางจะเกิด
ไอ้ ที่เคยให้ความเห็นอันคมคายกิ๊บเก๋นับสิบๆชุดความคิดที่จะช่วยให้ฝ่ายม็อบของ กำนันสุเทพกับ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ สามารถคุยกันได้ ตกลงกันด้วยสันติวิธีอะไรเชยๆเหล่านั้น เป็นอันหมดท่า
เพราะ สิ่งที่กำนันสุเทพวางแผนไว้ทั้งหมดก็คือ การสถาปนารัฐเผด็จการที่แท้จริง ไม่ใช่เรื่องหลอกๆให้หลงว่า เป็นอุดมการณ์เพื่อคนไทยทั้งชาติในการแก้กลโกง หรือสร้างระบอบประชาธิปไตยอันสมบูรณ์ (ที่มีผู้นำจากการแต่งตั้ง ไม่ใช่เลือกตั้งจากประชาชน)
กำนัน สุเทพจำเป็นต้องกำจัดระบอบทักษิณอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เพราะระบอบทักษิณนี่แหละที่จะทำให้ “ประชาธิปไตยอันสมบูรณ์”หรือระบอบเผด็จการที่ปราศจากการเลือกตั้งนั้นเกิด ไม่ได้ (เพราะพรรคประชาธิปัตย์ไม่สามารถจะสร้างระบอบนี้ผ่านการเลือกตั้งได้แล้ว)
แล้ว ผมก็ต้องระเบิดหัวเราะออกมา เพื่อแสดงความยินดีกับบรรดาชาวกรุง ชาวเมือง เหล่าดารานายแบบนางแบบ ไฮโซเซเล็บ บุคคลชั้นสูงทั้งหลายที่เคยไปร่วมม็อบกำนันสุเทพว่า ถ้ารัฐบาลยิ่งลักษณ์วางมือไป นั่นย่อมหมายถึงท่านก็จะได้สะใจที่ปลอดนักการเมืองที่ท่านชิงชังเสียที เพราะนักการเมืองจะหายหน้าไปทั้งหมด ไม่เหลือแม้แต่พรรคเดียว เท่ากับเป็นรัฐบาลเผด็จการทหารเต็มรูปแบบ มีข้าราชการโบราณๆนั่งสลอนอยู่ตามกระทรวงกรมกอง
ท่าน จะเที่ยวมาก่อม็อบเดินขบวน หรือโพสต์ความเห็นเท่ๆกิ๋บเก๋ แสดงความคิดอันแหลมคมแบบเดิมไม่ได้แล้วนะ ต้องรู้จักกฎระเบียบเข้าแถวระวังตรงไปทั้งชีวิตที่พร้อมจะรับชุดความคิดจาก ท่านผู้นำม.7 ใครเถียงอาจโดนตื๊บ(ตามระบอบประชาธิปไตยอันสมบูรณ์)
ใครยังนึกภาพนี้ไม่ออก ให้นึกถึงเกาหลีเหนือเข้าไว้-ฮา!