นึก ไม่ถึงจริงๆ ว่า ความแตกสามัคคีของคนไทยจากสงครามสีในเมืองไทยที่ดังไปทั่วโลก จะโด่งดังขึ้นมาอีกในเรื่องกีฬา ซึ่งตบตีกับนักกีฬาชาติอื่นก็ยังถือว่าน่าเกลียด แต่นี่ดันไล่ตีทุบถองกันเองต่อหน้าคนทั้งโลก มันยิ่งน่าเกลียดกว่าเรื่องใดๆ
ผมได้ยินมาแต่ อ้อนแต่ออกแล้วว่า คนไทยเล่นกีฬาแบบเป็นทีมไม่ได้ เพราะคนไทยไม่ชอบเล่นอะไรเป็นทีม แต่ถ้ากีฬาเดี่ยวๆ เช่น มวย สนุกเกอร์ เทนนิส หรือกีฬาอีกหลายๆ ประเทศที่นักกีฬาไทยเล่นเดี่ยวๆ มักจะทำได้ดีถึงขั้นเป็นแชมป์โลก
มวยอาชีพนี่เห็นๆ กันเลยว่า นักมวยไทยเราครองแชมป์โลกมาไม่รู้เท่าไร แม้จะเป็นรุ่นเล็กแค่ ฟลายเวท ไลท์ฟลายเวท หรือ แบนตั้มเวท ตลอดเวลาหลายสิบปีมานี้ นักมวยไทยครองเข็มขัดแชมป์โลกมาไม่รู้ต่อกี่คน นี่เป็นสิ่งที่เราพูดได้เต็มปาก
ไม่กี่ปีมานี้ บ้านเรากำลังรุ่งเรืองกันถึงขีดสุดในเรื่องฟุตบอลสโมสรจังหวัดต่างๆ จนมูลค่าสปอนเซอร์พุ่งสูงขึ้นมาปีละหลายร้อยล้านบาท นักธุรกิจนักการเมืองท้องถิ่นจังหวัดไหนไม่ได้มีโอกาสร่วมทีมหรือทำทีมสโมสร ฟุตบอล ก็อาจจะไม่ใช่คน “อินเทรนด์” ประจำจังหวัดอีกต่อไปแล้ว
โอกาสที่จะลบคำ ว่า คนไทยเล่นอะไรเป็นทีมไม่สำเร็จ กำลังจะถูกลบออกไปจากสาระบบ เพราะทีมฟุตบอลไทยสโมสรของไทยกำลังดีวันดีคืน เป็นที่ยอมรับมากขึ้นเป็นลำดับ
แต่แล้ว ฟุตบอลไทยที่ว่า กำลังจะกลายเป็นทีมที่มีความสามัคคีแน่นหนาเพื่อก้าวไปสู่ระดับโลก ก็เกิดปัญหาใหญ่ขึ้น แต่ไม่ยักกะเป็นตัวนักฟุตบอลผู้เล่น กลับเป็นเรื่องผู้ยิ่งใหญ่ในสมาคมและสโมสรที่กำลังโด่งดังสุดๆ
ขณะนี้ผู้ยิ่ง ใหญ่ทั้งหลายกำลังทะเลาะกันชนิดวงแตก ไม่เผาผีเรื่องการเลือกตั้งผู้บริหารสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย โดยมีปัญหาผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้องท่ามกลางการเฝ้าดูอย่างประหลาดใจของ คณะกรรมการฟีฟ่า
กลายเป็นเรื่องฉาวโฉ่ ของการแตกสามัคคีของคนไทยที่กำลังโด่งดังไปทั่วโลก หลังจากคนทั้งโลกรับรู้มา 6-7 ปีแล้วว่า คนไทยนั้นแบ่งสีเสื้อจนถึงกับฆ่ากันตายมาแล้ว นับร้อยศพ โค่นรัฐบาลจาการเลือกตั้งมาแล้วไม่รู้ต่อกี่ชุด
และเร็วๆ นี้ราวต้นเดือนสิงหาคมที่จะถึง คนไทยบางกลุ่มก็ยังมีกิจกรรมที่จะโค่นรัฐบาลกันอีกและเรียกร้องให้กองทัพออก มายึดอำนาจเหมือนในอียิปต์ ขณะที่คนอีกกลุ่มอีกสีเสื้อที่ออกจะใหญ่โตไปทั่วประเทศก็ใช่ว่าจะยอมง่ายๆ ที่จะให้อีกฝ่ายยึดอำนาจไปจากมือที่เขาเพิ่งจะลงคะแนนเสียงไปเมื่อสองปีก่อน
คนที่ทำหน้าที่ในสภา กำลังพยายามจะช่วยเหลือฝ่ายที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม ถูกฆ่าถูกจับติดคุกมาเป็นปีๆ เพื่อให้มีการนิรโทษกรรม ขณะที่อีกสีเสื้อไม่เคยถูกลงโทษใดๆ แต่ได้รับเกียรติให้ประกันตัวอย่างสบายอกสบายใจ ต่างไม่เห็นด้วย
ฝ่ายที่สั่งล่าสังหาร ก็ไม่เห็นด้วยและไม่ต้องการกฎหมายนิรโทษ เพราะไม่ว่าใครจะตายสักแค่ไหน ก็ไม่มีทางที่ความผิดเหล่านั้นจะมาถึงตัว นี่เป็นเหตุให้ความแตกแยกของคนไทยร้าวลึกถึงที่สุด
ไม่กี่เดือนมานี้ ผมเห็นข่าวว่า น้องเมย์ รัชนก อินทนนท์ แบดมินตันหญิงติดอันดับ 5 ของโลก แต่ก่อนจะลงมือเขียนเรื่องนี้ น้องเมย์ ก็เลื่อนขึ้นมาเป็นอันดับ 3 ของโลก หรือสหพันธ์แบดมินตันโลก เป็นข่าวที่ได้เฮอย่างมีความสุข
แต่ข่าวนี้คนไทยคงได้ เฮอยู่ไม่กี่วัน หนังสือแคนาดาและทั่วโลกก็ลงข่าวเสียดสีนักกีฬาแบดมินตันไทยว่า Bad-men-ton กรณีที่นักกีฬาไล่ตีกันกลางคอร์ตนัดชิงชนะเลิศ เนื้อหายังบอกว่านี่เป็นครั้งแรกของวงการแบดมินตันโลกที่นักกีฬาทำร้าย ร่างกาย กลางคอร์ตต่อหน้าคนดู (เหมือนโชว์ไทยบ็อกซิ่งให้ชมแถม-ฮา)
หนังสือพิมพ์ระดับโลก ฉบับนั้นเขียนได้อย่างน่าเกลียดต่อไปว่า ที่น่าอายที่สุดก็ตรงที่นักกีฬาทั้งคู่มาจากชาติเดียวกัน (ข้อความหลังนี่ฮาไม่ออกจริงๆ)
ผมเองก็อยากจะติดตาม ดูอยู่เหมือนกันว่า สมาคมแบดมินตันจะทำอะไรต่อไปกับนักกีฬาคนสองคนที่ทำร้ายชื่อเสียงของชาติ คงไม่ใช่แค่กล้อมแกล้มลงโทษไปล่วงหน้าพอเป็นพิธี เพื่อไม่ให้สหพันธ์แบดฯ โลกเขาบอยคอตทั้งทีม
หรือบางท่านก็รีบออก มารับหน้าเสื่อว่า ทั้งคู่ยังเด็กๆอยู่น่าที่จะได้รับการอภัย แค่ออกมาขอโทษคนไทยต่อหน้าสื่อ หรือในรายการสรยุทธสักครั้งก็น่าจะพอแล้ว
คนเราไม่ว่าจะอายุ เท่าไร แต่เป็นนักกีฬาในนามของประเทศ แถมมีลูกมีเมียแล้ว คงไม่ใช่เด็กๆ ที่ไร้เดียงสา แต่เป็นคนไร้ความอดกลั้นอดทน ไร้วินัย ขาดน้ำใจนักกีฬา สมาคมแบดฯของไทยต้องคิดให้ดี อย่ามัวลูบหน้าปะจมูกช่วยๆกันไป
การเมืองไทยเองทุกวัน นี้ จะไม่เหลือคำว่า น้ำใจนักกีฬาอยู่แล้ว เพราะอยู่กันด้วยความเกลียดชัง ไร้มาตรฐาน ใส่ร้ายป้ายสีกันจนไม่รู้ว่า ใครผิดใครถูก
แค่ เรื่องนักกีฬาที่ไม่มีน้ำใจนักกีฬา ก็อย่ามาช่วยตอกย้ำเพิ่มกับชาวโลกเลยว่า คนไทยนั้นชอบตีกัน โดยเฉพาะคนชาติเดียวกับตัวเอง นายกสมาคมแบดมินตันไทยฯไม่อาย แต่คนไทยเขาอายครับ.