ใครจะสนเรื่องทุกข์ยากชาวบ้าน

ใครได้ฟังการอภิปรายกล่าวหาอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์เรื่องข้าวของปปช.และการโต้ตอบชี้แจงของอดีตนายกฯแล้วก็จะได้เห็นอะไรหลายอย่างในสังคมไทย

ฝ่ายปปช.ผู้กล่าวหาซึ่งทำท่าราวกับเป็นพรรคการเมืองฝ่ายค้านเสียเองและพยายามจะบอกว่า การกระทำของอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ มีส่วนทำลายชื่อเสียงในการทำสถิติขายข้าวอันดับ 1 ในตลาดโลกที่ครองมานับสิบปี

ฝ่ายกล่าวหาแสดงให้เห็นว่า ไม่ควรมีการช่วยเหลือชาวนาไทย ในรูปของนโยบายจำนำข้าว เพราะเป็นการฝืนตลาดโลกและทำให้ไทยเสียอันดับในตลาดโลก (ถ้าช่วยชาวนาส่วนใหญ่ได้สำเร็จ พรรคการเมืองคู่แข่งและฝ่ายอนุรักษ์นิยมคงจะฉิบหายวายวอดไปด้วย)

แทนที่จะเป็นห่วงว่า ชาวนาไทยประสบความทุกข์ยากอย่างไรในการมีอาชีพเป็นกระดูกสันหลัง ขณะที่ชาวนาขาดทุนมาทุกปีจากการกดขี่ของโรงสี

และแม้แต่สมาคมส่งออกข้าวซึ่งมีกำไรมาตลอดในการส่งข้าวออกและสร้างอันดับ 1 ให้ข้าวไทยในตลาดโลก โดยเฉพาะยังเป็นผู้สนับสนุนที่แข็งขันของพรรคประชาธิปัตย์ ฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาลอีกด้วย

สรุปแล้ว ฝ่ายที่คิดถอดถอน สนใจเรื่องสถิติการส่งออกข้าวมากกว่าที่จะสนใจในชะตากรรมของชาวนาไทยซึ่งมีมากถึง 15-20 ล้านคน ที่ปลูกข้าวขาดทุนมายาวนานหลายสิบปี

การถอดถอนอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ถือเป็นเคมเปญใหญ่ที่สุดของฝ่ายอนุรักษ์นิยม ทั้งที่รู้ว่า คุณยิ่งลักษณ์ไม่ได้อยู่ตำแหน่งใดๆ แต่เป้าหมายที่แท้จริงก็คือ การลงโทษให้คุณยิ่งลักษณ์ถูกเว้นวรรคการเมือง 5 ปี

ถ้าคุณยิ่งลักษณ์ไม่ได้ลงเลือกตั้งซะคน พรรคประชาธิปัตย์และฝ่ายอมาตย์อนุรักษ์นิยมก็จะรู้สึกโล่งอกได้มาก โอกาสที่การร่างรัฐธรรมนูญแบบติดจรวดของสนช.ก็จะเกิดขึ้นเพื่อให้มีการเลือกตั้งในเร็ววันยิ่งขึ้น

การเมืองเรื่องถอดถอนครั้งนี้จึงเห็นได้ชัดว่า เป็นความร่วมมือที่น่าเกลียดที่สุดอีกครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ชาติไทย

ข้ามเรื่องถอดถอนมาดูเรื่องเศรษฐกิจการเมืองยุคปัจจุบันกันบ้าง เกิดคำถามว่า เพื่อนพ้องน้องพี่ที่กำลังทุกข์ยากลำบากลำบนกับการทำมาหากินอยู่ทุกวันนี้ ปี 2557 ทั้งปีจนข้ามปีใหม่มานี่มีอะไรดีขึ้นบ้าง

มีใครคิดอ่านแก้ไขเรื่องเศรษฐกิจปากท้องคนเล็กคนน้อยที่มีอยู่หลายสิบล้านคนทั่วประเทศกันบ้างไหม (ผมไม่ได้ว่านายกฯลุงตู่หรอกน่า!)

บางคนพูดเหมือนกับว่า ท่านจะมาตำหนิติติงพวกผมไม่ได้หรอก เพราะผมไม่ได้มาจากเลือกตั้ง ผมมาเพื่อให้ประเทศมีความสงบมั่นคงขึ้นเท่านั้นเอง

ฟังดูคล้ายนักธุรกิจสาวใหญ่เจ้าของทีวีดีจิตอลรายหนึ่งพูดไม่มีผิดเลย เพราะเธอประกาศว่า ชาวบ้านจะมีสภาพยังไงก็ช่างเถอะ ขอให้ประเทศมีความสงบมั่นคงก็พอแล้ว(รบกวนเวลาหาสปอนเซอร์ หรือเวลาช้อปปิ้งห้างไฮโซอยู่ได้!)

คนที่ดูแลคลังของชาติออกมาพูดตั้งแต่ปีที่แล้ว เศรษฐกิจดีขึ้นแล้ว โดยเฉพาะปี2558 จีดีพีจะสูงขึ้นถึง 4-4.5 % แต่ชาวบ้านอย่างเราก็ยังแปลไม่ออกว่า  แล้วใครมันได้ประโยชน์ตรงไหนกับอีตาจีดีพีนี่บ้างละ

ผมเขียนมาหลายครั้งในคอลัมน์นี้ว่า เจ้าคนที่ออกมาวิจารณ์เศรษฐกิจเมืองไทยทุกวันนี้ทั้งภาครัฐหรือนายแบ็งค์ว่า ดีอยู่แล้ว หรือปีหน้าทุกคนจะสบาย เพราะจีดีพีของชาติจะสูงขึ้น คนพูดพวกนี้มีเงินเดือนตั้งแต่หลายแสนจนถึงหลายล้านบาทต่อเดือน มันจะไปรู้สึกรู้สมอะไรเล่า-จริงไหม?

เพราะความทุกข์ยากเดือดร้อนยังมาไม่ถึงตัว เมื่อบริษัทฯรับภาระไม่ไหว เกิดเลิกจ้าง ออร์ลี่รีไทร์ ชาวบ้านรากหญ้าตกงาน ไม่มีจะกิน การฉกชิงวิ่งราว จี้ปล้นก็อาจเกิดขึ้นได้ในทุกถนนหรือตามซอกตึกระฟ้า เหตุการณ์เหล่านี้มีสิทธิ์เกิดขึ้นได้เหมือนกัน เวลาที่ผู้คนจนมุมจนสุดจะทนทาน

บางคนในรัฐบาลบอกว่า อยากให้คนไทยอดทน บางคนบอกให้รู้จักประหยัดให้มากกว่าเดิม ขอโทษ-จะแดกแต่ละมื้อยังหาไม่ครบเลย พ่อคุณ-แม่คุณเอ๋ย จะให้แบ่งมาม่าห่อเดียว กินให้ได้ทั้ง 3 มื้อหรือไง

ผมต้องขอชมบิ๊กบอสคนหนึ่งของบริษัทขายมาม่า-สหพัฒน์ฯ แกออกมาพูดความจริงที่น่าเกลียดน่าชังมากทีเดียว แกบอกเวลาเศรษฐกิจแย่ คนส่วนใหญ่ก็หันมาซื้อมาม่ากินประทังชีวิต แต่ปีนี้(2557)มาม่ากลับขายไม่ดี

แสดงว่า สถานการณ์เศรษฐกิจเมืองไทยเลวร้ายถึงขั้นไม่มีเงินจะซื้อมาม่ากินกันแล้วหรือ ยอดขายมาม่าอาหารประจำชาติที่ถูกที่สุดในเมืองไทยยังขายตกนี่ท่าจะไม่ไหวแล้วละมัง

ขณะที่ปัญหาปากท้องที่ทำมาหากินยากขึ้นกำลังแผ่ขยายไปทั่วประเทศ การเมืองแบบเก่าๆโบราณที่ไม่สอดคล้องกับภาวะของโลกก็กำลังหวนกลับมาอีกครั้ง

คือ(คุณชวน หลีกภัยที่เริ่มวิจารณ์คนไทยกันเองว่า ไม่เข้าใจระบอบประชาธิปไตย เท่ากับว่า 82ปีแห่งการเปลี่ยนแปลงการปกครองมานั้น คนไทยไม่ได้เข้าใจอะไรขึ้นเลย (แสดงว่า คนไทยมันโง่เต็มทน ที่ดันไปเลือกพรรคอื่นที่ไม่ใช่พรรคประชาธิปัตย์)

สนช.ต่างคิดหาวิธีการเลือกตั้งเพื่อกำจัดพรรคการเมืองใหญ่อย่างเพื่อไทย เพื่อจะให้พรรคประชาธิปัตย์ได้รับเลือกตั้งเข้ามาให้มากเท่าที่จะทำได้ และไม่ว่าประชาธิปัตย์จะทำอะไรผิดเห็นๆกันอยู่ ก็ต้องอยู่รอดปลอดภัยอยู่พรรคเดียวทั้งปีทั้งชาติ

สิ่งที่สนช.ชุดนี้ประจำปี 2558 จะทำการได้เด็ดขาดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ต้องเอาผิดกับประธานและรองประธาน จนถึงส.ส.-ส.ว.ชุดก่อนที่ลงมติแก้รัฐธรรมนูญเพื่อให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น เพื่อจะเว้นวรรคการเมือง 5ปี คนเหล่านี้ให้เหี้ยนเตียน เหมือนตอนยุบพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน

ที่สำคัญกว่านั้นต้องช่วยกันทั้งสภาสนช.ลงมติให้อดีตนายกฯยิ่งลักษณ์มีความผิดเรื่องนโยบายจำนำข้าวทั้งที่หลักฐานยังไปไม่ถึงไหนให้จงได้ เพื่อให้เธอถูกเว้นวรรคการเมือง 5 ปี การเมืองไทยจึงวนเวียนอยู่แค่นี้เอง

ในที่สุดก็ต้องไล่ล่าผู้หญิงคนเดียวไม่ให้กลับมาเป็นนายกฯ เหมือนรัฐบาลทหารพม่าไล่ล่าอองซาน ซูจีไม่ให้ลงเลือกตั้งเพื่อเป็นประธานาธิบดีนั่นแหละ ยัยสองคนนี้ขึ้นมาเมื่อไหร่ คนกลุ่มเก่าโบราณๆก็วงแตกทันที(ฮา)