Destroy your enemy by making him your friend “จงทำลายศัตรูของท่านด้วยการทำให้เขาเป็นมิตร”

“Destroy your enemy by making him your friend” เป็นวาทะของ “อับราฮัม ลินคอล์น” (Abraham Lincoln) ประธานาธิบดีคนที่ 16 ของสหรัฐอเมริกา ผู้ซึ่งได้รับการยกย่องว่า เป็นประธานาธิบดีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของสหรัฐ

ที่นึกถึงประโยคอมตะนี้ เพราะเห็นนายกรัฐมนตรีประยุทธ์ ท่านชื่นชอบหนังเรื่อง “ลินคอล์น” ซึ่งท่านบอกว่ามีโอกาสได้นั่งชมขณะกำลังตัดผม เลยเอามาเล่าให้สื่อมวลชนฟัง และบอกด้วยว่าชอบแนวคิดของประธานาธิบดีคนนี้

ความจริงลินคอล์นนั้นกล่าววาทะที่น่าคิดหลายประโยค ต่างวาระกันไป และมีผู้เอาไปเผยแพร่เป็นคำคมจนแพร่หลายไปทั่ว แต่ประโยคนี้ของลินคอล์นวาบในความคิดขึ้นมาตอนเห็นท่านนายกฯให้สัมภาษณ์สื่อ….ก็แปลกดี ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน

“จงทำลายศัตรูของท่านด้วยการทำให้เขาเป็นมิตร” ฟังดูพูดง่าย แต่ทำยากใช่ไหม?

แต่ที่ผ่านมาเราได้เคยเห็นท่านสุภาพบุรุษและสุภาพสตรีหลายคนทำได้….และปฏิบัติได้อย่างน่าทึ่ง วิธีนี้ดูลุ่มลึก แนบเนียน และดูฉลาดน่ารักน่านับถือกว่าวิธีการทำลาย ‘ผู้เรามองว่าเขาเป็นศัตรู’ อย่างโต้งๆ โฉ่งฉ่าง เปิดเผย แบบนั้นออกจะเป็นวิธีที่ตื้นเขินขาดความสุขุมลุ่มลึกไปหน่อย แล้วยังทำให้ตัวเองดูกลายเป็นตัวร้ายหรือนางอิจฉาในละครน้ำเน่าไปได้ง่ายๆ ในสายตาคนอื่นหรือคนในสังคม

บางคนอาจจะค้านว่า ทำไมล่ะ? ศัตรูคือศัตรู ไม่เห็นต้องปรานีมันเลย ไม่เห็นต้องทำเป็นดีกับมันเลย ตรงๆ แบบนี้ล่ะ!

[quote_box_left]51m7P+bJfAL[/quote_box_left]

ก็แล้วท่านจะมีความสุขได้อย่างไร ถ้ามัวคิดหมกมุ่นอยู่กับการล้างผลาญศัตรู และคำว่า เป็นคนตรงๆ กับคนถ่อยๆ นี่มีเส้นกั้นกันอยู่นิดเดียว วันๆ จะทำอะไรที คิดแต่ว่าทำแล้วจะกำจัดศัตรูไปได้กี่คน…..แบบนี้คงไปคิดถึงการทำสิ่งดีอื่นๆ ลำบาก จะคิดพัฒนาอะไรก็ติดขัดเพราะอารมณ์ขุ่นมัวตลอดเวลา เมื่อความคิดวนเวียนอยู่กับความคั่งแค้นจึงไม่สามารถก้าวข้ามความรู้สึกดาร์คๆ แบบนี้ไปได้เลย

เวลาที่เสียไปกับอารมณ์ขุ่นมัวคั่งแค้นศัตรู ถ้าเอามาใช้ให้เป็นประโยชน์ในทางสร้างสรรค์ ในทางพัฒนาให้เดินไปข้างหน้าคงดีไม่น้อย ยิ่งถ้าตระหนักว่า “อำนาจ” นั้นไม่ยั่งยืน และอำนาจเกิดจากความกลัว หากปราศจากความกลัวเสียแล้ว อำนาจก็เสมือนความว่างเปล่าไร้ค่า….จริงหรือไม่ ค่อยๆ คิด ก็จะพบคำตอบ

มีหนังสือขายดีเล่มหนึ่งชื่อ Unbroken เขียนโดย ลอร่า ฮิลเลนแบรนด์ เล่าเรื่องราวชีวิตที่ผกผันเหลือเชื่อของนักกีฬาโอลิมปิกของสหรัฐเชื้อสายอิตาเลี่ยน โดยครอบครัวเขาอพยพมาอยู่ที่นิวยอร์กก่อนจะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ขึ้น นักวิ่งโอลิมปิกคนนี้มีนามว่า หลุยส์ (ลูอี้) แซมเพอรินี (Louis Zamperini)

หนังสือดังมากกระทั่งเมื่อเร็วๆ นี้ ประวัติชีวิตที่เข้มข้นของแซมเพอรินีได้ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ชื่อเดียวกับหนังสือ อำนวยการสร้างและกำกับการแสดงโดย “แองเจลินา โจลี” ซุปตาร์คนดังแห่งฮอลลีวู้ด มีเรื่องราวจากวัยเด็กจนมาเป็นนักวิ่งโอลิมปิก จากนั้นถูกเกณฑ์ไปเป็นทหาร แล้วเกิดเครื่องบินตกรอดชีวิตมาได้ ต้องลอยอยู่บนแพยางกลางทะเลนานถึง 47 วันร่วมกับลูกเรืออีกสองคน ตอนหลังตายไปคนหนึ่ง ก่อนจะถูกกองทัพเรือญี่ปุ่นจับตัวได้และถูกส่งไปเป็นนักโทษในค่ายกักกันของทหารญี่ปุ่น โดนทรมานอย่างหนักหนาสาหัสจากนายทหารผู้กุมอำนาจเหนือเหล่าเชลย นามว่า Mutsushiro Watanabe ผู้มีฉายานาม “The Bird” หรือ “ไอ้เบิร์ด” ผู้บัญชาการบ้าอำนาจในค่ายกักกัน POW อันหฤโหด

ลูอี้ แซมเพอรินี ตอนเป็นหนุ่มนักวิ่งโอลิมปิก

ลุงลูอี้ แซมเพอรินี แกเป็นที่หมั่นไส้เหม็นขี้หน้าของผู้บัญชาการวาตานาเบ้ เพราะความที่เก่งกาจมีความสามารถ เรียกว่าเป็นคนป๊อปปูล่าร์เพราะเป็นนักกีฬาโอลิมปิก ความซวยคือ ต้องมาเจอกับคนที่มีปมในใจเป็นพื้นฐาน และมีแรงอิจฉาริษยาเป็นตัวกระตุ้น ยิ่งบวกกับความบ้าอำนาจ โรคจิตหน่อยๆ ก็สามารถทำร้ายทำลายคนได้ด้วยวิธีการต่างๆ นานาสารพัดที่จะทำ ยิ่งมองว่าเป็นศัตรูด้วยแล้ว ก็ยิ่งเหยียดเย้ยให้ผู้ที่ตนมองว่าเป็นศัตรูดูไม่ใช่มนุษย์ ดูต่ำตมไร้ค่ามากเท่าไหร่ก็ดูเหมือนมนุษย์ขี้อิจฉาบ้าอำนาจอย่างผู้บัญชาการวาตานาเบ้จะยิ่งสะใจเป็นทวีคูณ

“The Bird” ผู้บัญชาการค่ายเชลย “มัตสุชิโร วาตานาเบ้”
“The Bird” ผู้บัญชาการค่ายเชลย “มัตสุชิโร วาตานาเบ้”

วาตานาเบ้ไม่ได้ทำลายศัตรูด้วยการทำให้เป็นมิตร และเพราะโลกเรามันก็ดันมีคนประเภทที่ว่า “เอาสิ….ข้าไม่กลัวเอ็ง อยากทำไรก็ทำ”….แซมเพอรินี ผู้รอดตายมาได้ตั้งหลายครั้งเลยมีความอึดอดทนอดกลั้นเป็นพิเศษ ไม่ว่าวาตานาเบ้จะกลั่นแกล้งทรมานสักเท่าใด แซมเพอรินีก็ยิ่งมีภูมิต้านทานชีวิต เรียกว่าจ้องตาสู้ไม่ยอมกะพริบ!

ความเจ็บปวดพ่ายแพ้ของผู้มีอำนาจในมือมันอยู่ตรงนี้ อย่างที่กล่าวไว้ว่า “อำนาจเกิดจากความกลัว หากปราศจากความกลัวซะแล้ว อำนาจก็เสมือนความว่างเปล่าไร้ค่า….” ลุงลูอี้ แซมเพอรินี เป็นตัวอย่างของคนเล็กๆ คนหนึ่งในโลกนี้ที่ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา ทั้งยัง “พยายามที่จะทำลายศัตรูด้วยการเป็นมิตร” หลังสงครามสงบ ลุงลูอี้กลับไปวิ่งอีกครั้ง และได้กลับไปเยี่ยมค่ายกักกันที่ญี่ปุ่นด้วย ไม่เท่านั้นยังออกตามหา “ไอ้เบิร์ด” เพื่อจะได้พบกันสักครั้ง เมื่อรู้ว่าวาตานาเบ้ในวัยบั้นปลายยังมีชีวิตอยู่ แต่ลูอี้ก็ต้องผิดหวัง เพราะวาตานาเบ้ปฎิเสธที่จะพบกับเขา

ลุงลูอี้เพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อไม่นานมานี้ ก่อนหน้านั้นลุงได้ถือคบเพลิงโอลิมปิกวิ่งเป็นเกียรติประวัติ สิริรวมอายุขัยจนวันลาโลกของลุงก็ 97 ปีพอดี ทิ้งคำกล่าวจับใจไว้หลายประโยค หนึ่งในนั้นมีประโยคนี้… ‘Don’t give up, Don’t give in. “อย่ายอมแพ้….อย่าค้อมยอมจำนน”

เริ่มต้นเรื่องด้วยคำกล่าวของคนใหญ่คนโตอย่างลินคอล์น แล้วไหงมาจบด้วยคำกล่าวของคนตัวเล็กๆ (แต่ใจใหญ่) อย่างลุงลูอี้ได้ก็ไม่รู้นะเนี่ย…..