ในวันอาทิตย์ (12 ม.ค.) นายกรัฐมนตรีอิสราเอล นายเบนจามิน เนทันยาฮู กล่าวยกย่องผู้ประท้วงชาวอิหร่านที่ออกประท้วงรัฐบาลหลังจากที่เตหะรานยอมรับว่ายิงเครื่องบินโดยสารโดยไม่ตั้งใจทำให้มีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 176 คน
“ผมสังเกตเห็นถึงความกล้าหาญของประชาชนชาวอิหร่านซึ่งกำลังแสดงให้เห็นอีกครั้งบนถนนในการต่อต้านระบอบการปกครองนี้ พวกเขาสมควรได้รับอิสรภาพ เสรีภาพ และสิทธิในการใช้ชีวิตอย่างปลอดภัยและสงบสุข ซึ่งทั้งหมดนี้ระบอบการปกครองปฏิเสธพวกเขาทุกคน” เขากล่าวในการแสดงความคิดเห็นในภาษาฮิบรู เมื่อเริ่มการประชุมคณะรัฐมนตรีประจำสัปดาห์ ไทมส์ออฟอิสราเอลรายงาน
เขากล่าวในภาษาอังกฤษเสริมว่า“ อิหร่านโกหก เช่นเดียวกับที่พวกเขาโกหกเกี่ยวกับโครงการนิวเคลียร์ลับของพวก เขา พวกเขากำลังโกหกเกี่ยวกับการตกของเครื่องบินยูเครน พวกเขารู้ตั้งแต่ต้นว่าพวกเขาได้ทำลายมัน พวกเขารู้ว่ามันเป็นการตกที่ไม่ตั้งใจ แต่พวกเขาก็โกหกโดยเจตนา พวกเขาหลอกคนทั้งโลก”
“ นี่เป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับที่ประเทศที่มีอารยธรรมควรปฏิบัติ และเราส่งความเสียใจไปยังผู้เสียหายจากการหลอกลวงและประมาทเลินเล่อของอิหร่าน” นายเนทันยาฮูกล่าว
ความคิดเห็นนี้ของเนทันยาฮูเกิดขึ้นคล้อยหลังไม่นานจากก่อนหน้านี้ประธานาธิบดีสหรัฐ โดนัลด์ ทรัมป์ บอกกับผู้ประท้วงชาวอิหร่านว่า เขาสนับสนุนพวกเขาและเตือนอิหร่านเรื่องการปราบปรามการประท้วงนี้
ก่อนหน้านี้นายร็อบ แมคแคลร์ เอกอัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศอิหร่าน ถูกทางการอิหร่านควบคุมตัวเป็นเวลาหลายชั่วโมง ในข้อหาปลุกปั่นให้มีการประท้วงต่อต้านรัฐบาล หลังถูกพบร่วมชุมนุมในการประท้วงรัฐบาลของนักศึกษาหลายร้อยคนหน้ามหาวิทยาลัยอะมีรกะบีร กรุงเตหะราน
สื่อท้องถิ่นอิหร่านรายงานอ้างอิง “แหล่งข้อมูล” ที่บอกว่า แมคแคลร์ได้จัดประชุมลับภายในร้านตรงข้ามประตูหลักของมหาวิทยาลัยอามีร์ เพื่อตรวจสอบกระบวนการที่จะนำไปสู่การประท้วงครั้งนี้
ประชาชนอิหร่านหลายร้อยคนแห่กันไปที่หน้ามหาวิทยาลัยในอิหร่านเมื่อเช้าวันเสาร์ (11 ม.ค.) เพื่อชุมุนมประท้วงหลังจากที่เตหะรานยอมรับว่ายิงเครื่องบินโดยสารของประเทสยูเครนโดยไม่ตั้งใจ โดยในจำนวนผู้โดยสารที่เสียชีวิต 176 ราย มีชาวอิหร่านที่อยู่บนเครื่องลำดังกล่าวหลายคนด้วยกัน
ในขณะที่หลายคนกำลังนำดอกไม้และจุดเทียนส่องสว่าง แต่ก็มีบางกลุ่มคนปิดกั้นถนนและถือป้ายประท้วงต่อต้านรัฐบาลว่า “คำขอโทษและการลาออก” นั้นไม่เพียงพอ และเรียกร้องให้ “มีการการฟ้องร้องและเปลี่ยนแปลงทางรัฐธรรมนูญ”