ผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญาเกือบ 40,000 คนที่อาศัยอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยหลายแห่งทั่วประเทศอินเดียหวั่นว่า ต้องเผชิญภัยพิบัติด้านมนุษยธรรมขนาดใหญ่ที่จะเกิดขึ้น เนื่องจากพวกเขาถูกทิ้งให้ต่อสู้กับโรคโคโรนาไวรัสเพียงลำพัง
เมื่อวันอังคารที่แล้ว นเรนทระ โมที นายกรัฐมนตรีอินเดียประกาศล็อคดาวน์อย่างเข้มงวดต่อประชาชน 1.3 พันล้านคนของอินเดีย เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของไวรัสที่คร่าชีวิตผู้คนไปแล้วกว่า 30,000 คนทั่วโลก
แต่ความเคลื่อนไหวดังกล่าวได้กลายเป็นโศกนาฏกรรมของมนุษย์ เมื่อมีแรงงานอพยพหนีออกจากเมืองหลายหมื่นคน หลายคนถูกบังคับให้เดินเท้าไปหลายร้อยกิโลเมตรเพื่อไปถึงบ้านเกิด หลังจากการปิดตัวของธุรกิจและโรงงานต่างๆ
นักวิจารณ์กล่าวหาว่ารัฐบาลรีบออกกฎปิดตายประเทศโดยไม่มีแผนรองรับที่เหมาะสม ประเทศนี้มีผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 แล้ว 1,000 ราย และผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 32 ราย
หวั่นการระบาดของโรคไวรัสโคโรนาในค่ายผู้ลี้ภัย
ประมาณ 100 กม. ทางตอนใต้ของเมืองหลวง ชาวโรฮิงญาเกือบ 400 ครอบครัวอาศัยอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยในเขตคุ้มครอง หมายเลข 7 ของเขตนูห์ (Nuh) รัฐหรยาณา สำหรับพวกเขาการได้มีสบู่ก็เป็นสิ่งที่หรูหราแล้ว มิพักต้องพูดถึงหน้ากากอนามัยหรือน้ำยาฆ่าเชื้อต่างๆ
ทุกคนมีความกังวลเกี่ยวกับไวรัสนี้ แต่มีเพียงสิ่งเล็กน้อยเท่านั้นที่พวกเขาสามารถทำได้เพื่อปกป้องตนเอง กระท่อมชั่วคราวที่ติดกันและกันทำให้เป็นไปไม่ได้ที่คนจะรักษาระยะห่าง การสุขาภิบาลโดยรวมไม่ดี กับห้องน้ำที่ไม่สะอาด และการเข้าถึงการดูแลสุขภาพที่ขาดแคลน
จาฟฟาร์ อุลละห์ (Jaffar Ullah) วัย 29 ปี อาจารย์สอนคอมพิวเตอร์ อาศัยอยู่ในกระท่อมแห่งหนึ่ง สบู่ก้อนสุดท้ายหมดลงในวันเสาร์ เขาไม่มีอะไรเหลือให้ล้างมืออีกต่อไปแล้ว
“มีเพียงไม่กี่ครอบครัวที่มีสบู่ในสลัมของเรา พวกเขาส่วนใหญ่ไม่มีความสามารถที่จะซื้อได้” เขากล่าวกับอัลจาซีรา
เจ้าหน้าที่เทศบาลท้องถิ่นฉีดพ่นสารฆ่าเชื้อในพื้นที่อยู่อาศัยใกล้เคียง – แต่ไม่ใช่สำหรับสลัมแห่งนี้ ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา อุลละห์กล่าวว่า มีผู้ป่วยไข้สูงเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“ผมไม่รู้ว่าเกี่ยวข้องกับไวรัสโคโรนาหรือไม่ แต่ผู้คนตกอยู่ในความตระหนกและหวาดกลัว” อุลละห์บอกกับ อัลจาซีรา “พวกเขาไม่สามารถไปโรงพยาบาลได้ เนื่องจากแผนกผู้ป่วยนอกปกติปิดตัวลง ไม่มีใครจากรัฐบาลเข้ามาตรวจสอบพวกเรา”
โรงพยาบาลส่วนใหญ่ระงับการให้บริการผู้ป่วยนอกหลังจากการประกาศล็อคดาวน์ในวันที่ 24 มีนาคม
องค์กรสิทธิมนุษยชนโรฮิงยา (ROHRInga) ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงผลกำไรตั้งอยู่ในนิวเดลีได้จัดทำแบบสำรวจจาก 334 คนที่อาศัยอยู่ในค่ายมาดานพูร์คาดาร์ (Madanpur Khadar) และพบว่ามี 37 คนที่ป่วยด้วยอาการป่วยไข้ และน้ำมูกไหล – คล้ายกับไวรัสตัวใหม่
“ มีความเสี่ยงร้ายแรงต่อการระบาดของโรคไวรัสโคโรนาในสลัมผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญา” ซาบเบอร์ เคียว มิน จาก ROHRIinga กล่าวกับอัลจาซีรา
“รัฐบาลอินเดียกำลังปกป้องประชาชนของตน ในขณะที่องค์กรระหว่างประเทศเช่น UNHCR (หน่วยงานผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ) ไม่ได้หันมามองทางเรา พวกเราถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพังเพื่อต่อสู้กับโรคระบาดครั้งนี้” เขากล่าวเสริม
อย่างไรก็ตาม สำนักงาน UNHCR ในนิวเดลีปฏิเสธเรื่องความล่าช้าในการตอบสนองต่อเรื่องนี้ และกล่าวว่าได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดโดยประสานงานกับองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรในท้องถิ่น
หิวโหย ไร้อาหาร
บาดาร์ อาลัม วัย 31 ปี จากค่ายผู้ลี้ภัยนูห์ ทำงานกรรมกรในไซต์ก่อสร้างในฐานะลูกจ้างรายวัน แต่ตอนนี้เขาไม่สามารถทำงานได้เนื่องจากการถูกล็อคดาวน์ เขากล่าวว่า ครอบครัวของเขารวมถึงภรรยาและลูกสามคนไม่ได้กินอาหารที่เหมาะสมมาหนึ่งสัปดาห์แล้ว
อาลัมถูกทิ้งไว้กับ ข้าวสองกิโลกรัม, ถั่ว 250 กรัม และเงิน 250 รูปี (ประมาณ 110 บาท) ในกระเป๋า โดยไม่มีโอกาสได้ทำงานอีกอย่างน้อยสองสัปดาห์ “ผมจะเลี้ยงลูกยังไง? ด้วยก้อนหินหรือ?” เขาตั้งคำถาม
ส่วนครอบครัวชาวโรฮิงญาเกือบ 1,200 คนที่อาศัยอยู่ในเขตชัมมูของภูมิภาคแคชเมียร์ที่มีข้อพิพาท ซึ่งอาศัยรายได้จากการทำงานในโรงงานวอลนัท ก็กำลังขาดแคลนอาหาร ผู้ลี้ภัยกล่าวว่าคงอีกไม่กี่วันแล้วก่อนที่พวกเขาจะต้องนอนในขณะท้องว่าง
ฮาฟิซ มุบาชาร์ ที่ทำงานในโรงเรียนศาสนาอิสลามที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับเด็กชาวโรฮิงญาในเขตบาตินดี (Bathindi) ของเมืองชัมมู เขาปิดชั้นเรียนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว แต่ในช่วงสามวันที่ผ่านมาเขาได้รับโทรศัพท์จากนักเรียนที่ต้องการความช่วยเหลือเรื่องข้าวสารและแป้ง
“การล็อกดาวน์ทำให้สถานการณ์ด้านอาหารของเราเลวร้ายลง” มูบาชาร์วัย 27 บอกกับอัลจาซีรา
“ พวกเราหลายคนอดอยากแล้ว ในขณะที่บางคนเปลี่ยนไปกินอาหารวันละมื้อ หรือใช้วิธีลดการบริโภคอาหารลง”
มูบาชาร์เชื่อว่า เจ็ดวันข้างหน้าจะมีความสำคัญต่อชุมชนชาวโรฮิงญา เนื่องจากครอบครัวส่วนใหญ่จะปราศจากอาหารในไม่ช้า
“ เรากำลังดิ้นรนต่อสู้กับทั้งความหิวและโคโรนาไวรัสในเวลาเดียวกัน” มูบาซาร์กล่าว
“แต่ผมคิดว่าความหิวจะฆ่าเราก่อนที่ไวรัสจะทำ”
แปล/เรียบเรียงจาก อัลจาซีรา