MEMO – อิหร่านและตุรกีกล่าวหาสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) ว่า ทอดทิ้งชาวปาเลสไตน์ หลังทำข้อตกลงสันติภาพกับอิสราเอล
กระทรวงต่างประเทศของอิหร่านประณามข้อตกลงดังกล่าวว่า เป็นการกระทำด้วย “ความโง่เขลาเชิงกลยุทธ์จากอาบูดาบีและเทลอาวีฟ”
“ ผู้คนที่ถูกกดขี่ในปาเลสไตน์และประเทศเสรีทั่วโลกจะไม่มีวันยกโทษให้ต่อการสถาปนาความสัมพันธ์กับระบอบการยึดครองของอิสราเอลที่เป็นอาชญากรและการสมรู้ร่วมคิดในการก่ออาชญากรรม” แถลงการณ์ของกระทรวงฯ กล่าว
กระทรวงต่างประเทศอิหร่านเรียกย่างก้าวนี้ว่าเป็น “การเคลื่อนไหวที่น่าอับอายของอาบูดาบี” ซึ่งเป็นอันตราย เตหะรานเตือนไม่ให้มีการแทรกแซงของอิสราเอลในประเทศอ่าว และกล่าวว่า “รัฐบาลของเอมิเรตส์และรัฐอื่นๆ จะต้องยอมรับความรับผิดชอบต่อผลที่ตามมาทั้งหมด” ของข้อตกลงนี้
ในขณะเดียวกันประธานาธิบดี เรเยพ ตอยยิบ เออร์โดกัน ของตุรกีได้ประกาศกับผู้สื่อข่าวในอิสตันบูลว่า ตุรกีจะพิจารณาปิดสถานทูตของตนในอาบูดาบี และระงับความสัมพันธ์ทางการทูตกับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์หลังประเทศอ่าวแห่งนี้ปรับความสัมพันธ์กับอิสราเอลให้เป็นปกติ
คำขู่ของเออร์โดกันเกิดขึ้นคล้อยหลังกระทรวงต่างประเทศของตุรกีที่ออกแถลงการณ์ตำหนิอย่างรุนแรง
“ ประวัติศาสตร์และความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของประชาชนในภูมิภาคนี้จะไม่ลืม และจะไม่มีวันให้อภัยพฤติกรรมหน้าซื่อใจคดของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งทรยศต่อชาวปาเลสไตน์เพื่อผลประโยชน์อันคับแคบ” กระทรวงต่างประเทศตุรกีกล่าวในแถลงการณ์
รัฐบาลสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ “ไม่มีอำนาจในการเจรจากับอิสราเอลในนามของปาเลสไตน์ โดยไม่ได้รับความยินยอมจากประชาชนและรัฐบาล(ปาเลสไตน์) ในเรื่องสำคัญยิ่งแบบนี้” กระทรวงกล่าวเพิ่มเติม
หลังการประกาศเมื่อวันพฤหัส (13 ส.ค.) ทำให้สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เป็นรัฐอ่าวอาหรับชาติแรกและเป็นชาติอาหรับที่สามหลังจากอียิปต์และจอร์แดนที่มีความสัมพันธ์กับอิสราเอล
เบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล ยกย่อง “ยุคใหม่” ระหว่างอิสราเอลและโลกอาหรับ หลังทำข้อตกลงนี้กับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์