มุสลิมชีอะห์ในประเทศไทย ก็เช่นเดียวกับมุสลิมชีอะห์ทั่วโลกที่ให้ความสำคัญกับ “พิธีมุฮัรรอม” และ “วันอาชูรอ” ศาสนสถานของพวกเขาถูกประดับประดาด้วยผ้าสีดำและสัญลักษณ์แห่งความโศกเศร้า
“พิธีมุฮัรรอม” ถูกจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี เมื่อถึง “เดือนมุฮัรรอม” เดือนแรกตามปฏิทินอิสลาม เพื่อรำลึกถึงการสละชีพของฮุเซน หลานศาสดามูฮัมหมัด ผู้ที่ไว้อาลัยต่อฮุเซนคือชาวมุสลิมนิกายชีอะห์เป็นส่วนใหญ่
พิธีรำลึกและไว้อาลัยนี้จะดำเนินไปตั้งแต่วันที่ 1 จนถึงวัน ที่ 10 ของเดือนนี้ โดยวันที่ 10 หรือที่เรียกว่า “วันอาชูรอ” สำคัญสุด เนื่องจากเป็นวันที่อิมามฮุเซนพร้อมครอบครัวได้พลีชีพในการสังหารหมู่ที่เมืองการ์บาลา โดยน้ำมือของ “ยะซีด บินมุอาวียะห์” ผู้ปกครองเผด็จการของอิสลาม ในศตวรรษที่ 7 ซึ่งนับเป็นจุดผลิกผันที่สำคัญในประวัติศาสตร์อิสลาม
วันที่ 10 มุฮัรรอม ฮ.ศ. 1442 หรือ “วันอาชูรอ” ปีนี้ ตรงกับวันที่ 30 ส.ค. 2563 แม้เหตุการณ์จะล่วงเลยมา 1,300 กว่าปี แต่ก็ยังเป็นเรื่องเร่าร้อนสำหรับผู้ศึกษาประวัติศาสตร์และผู้ที่มอบความรักอย่างสุดซึ้งต่อศาสดามูฮัมหมัดและครอบครัวของท่าน
ณ มัสยิดรูฮุลลอฮ์ จังหวัดนครศรีธรรมราช จุดศูนย์รวมสำคัญของมุสลิมชีอะห์ในภาคใต้ ปีนี้ “ซัยยิด สุไลมาน ฮุซัยนี” อิมามมัสยิด นักการศาสนาชีอะห์ผู้มีชื่อเสียง และประธานมูลนิธิอัลมะฮ์ดี (ประเทศไทย) เป็นวิทยกรบรรยายในค่ำคืนอาชูรอ โดยมีบรรดาบรรดามุสลิมชีอะห์นับพันคนเข้าร่วมงานดังกล่าว
นอกจากกล่าวถึงเหตุการณ์อันเลวร้ายที่เกิดขึ้นบนหน้าประวัติศาสตร์อิสลามในอดีต ซัยยิด สุไลมาน ได้อธิบายและเน้นย้ำในความหมายของ ประโยค “ลับบัยกะยาฮุเซน” ตามนิยาม คำจำกัดความของ “ซัยยิด ฮัสซัน นัศรุลเลาะห์” ผู้นำขบวนการฮิซบุลเลาะห์แห่งเลบานอน ที่ชาวมุสลิมชีอะห์รวมทั้งชาวอาหรับบางส่วนยกให้เป็นฮีโร่ของโลกมุสลิม
“ลับบัยกะยาฮุเซน” คือหนึ่งในสโลแกนสำคัญของชาวมุสลิมชีอะห์ ที่มีความหมายว่า “เราตอบรับคำเรียกร้องของท่าน โอ้ ฮุเซน”
“ชาวอิหร่านและขบวนการฮิซบุลเลาะห์ในเลบานอน ได้แสดงและสำแดงนิยามของ “ลับบัยกะยาฮุเซน”อย่างเป็นรูปธรรมอย่างสมบูรณ์ และการดำเนินการตามนิยามนี้จะยังคงดำเนินต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง” ซัยยิดสุไลมาน เกี่ยวถึงนัยยะที่สำคัญและเป้าหมายหลักของของสโลแกนนี้
ประธานมูลนิธิอัลมะฮ์ดี (ประเทศไทย) ได้ชี้ถึงสโลแกนหรือคำขวัญของเดือนมุฮัรรอมปีนี้ โดยเฉพาะสำหรับบรรดาชีอะฮ์นักปฏิวัติทั่วทั้งโลก นั่นคือ สโลแกน “เราคือประชาชาติของอิมามฮุเซน (อ)” ด้วยการอธิบายความหมาย นัยยะ และวิธีการที่จะได้มาซึ่งเกียรติอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ โดยการนำประชาชาติอิหร่าน และ นายพลกอเซ็ม สุไลมานี ของอิหร่านที่ถูกสหรัฐลอบสังหาร มาเป็นกรณีตัวอย่าง
“เพื่อตอบสนองต่อการคุกคามของศัตรูต่อสาธารณรัฐอิสลาม ชะฮีด กอเซ็ม สุไลมานี ได้ใช้วลีหรือวาทกรรมหนึ่งที่ว่า ”เราคือประชาชาติแห่งการพลี เราคือประชาชาติของอิมามฮุเซน” นั่นหมายความว่าประชาชาติอิหร่านไม่เคยและจะไม่มีความกลัวใดๆ ต่ออันตรายที่มีอยู่ในแนวทางของการญิฮาดและการต่อสู้ในหนทางของพระผู้เป็นเจ้า”
“และสิ่งนี้ได้รับการพิสูจน์มาแล้วโดยประชาชาติอิหร่านในยุคสมัยของท่านอิมาม โคมัยนี ในช่วงของการปฏิวัติและในยุคสงครามการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ เมื่อเราเห็นบรรดาชุฮาดาอฺ (ผู้พลี) แห่งสงครามการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ เราได้ประจักษ์ถึงบทบาทที่โดดเด่นและเปล่งประกายของ โฮร์แห่งยุคสมัย ฮะบีบ แห่งยุคสมัย ซุเฮรแห่งยุคสมัย กอเซ็ม แห่งยุคสมัย อาลี อักบัรแห่งยุคสมัย รวมถึง อุมมุลวะฮาบแห่งยุคสมัย และท่านหญิงซัยนับ แห่งยุคสมัย และในวันนี้เราก็เห็นว่าความเปล่งประกาย ความมุ่งมั่นและความภักดีนี้ยังคงมีอยู่ในยุคสมัยของท่านอิมาม อาลี คาเมเนอี ที่ทำหน้าที่เป็นผู้นำสูงสุดและชี้นำประเทศนี้ ซึ่งตัวอย่างของความมุ่งมั่นและความภักดีอย่างแท้จริงที่สามารถสัมผัสได้คือเหล่าชุฮาดาอฺ (ผู้พลี) ที่ปกป้องฮะรัมของบรรดาอะห์ลุลบัยต (อ) เช่น ชะฮีด ฮุญาญี ดังนั้นเราสามารถเข้าใจเป็นอย่างดีว่าความหมายหรือนัยยะของชะฮีด นายพล กอเซ็ม สุไลมานี ที่เกี่ยวกับ ประโยคนี้คืออะไร?” ซัยยิดสุไลมานกล่าวในการบรรยาย
ผู้นำชีอะห์ได้ชี้ให้เห็นว่า ประชาชาติของอิหม่ามฮุเซนในอีกความหมายหนึ่งนั้นจะต้องเป็นสิ่งที่มากกว่าการเป็นสหายและสาวกของอิมามฮุสเซน “เนื่องจากเมื่อจิตวิญญาณแห่งการเสียสละและความภักดีที่เกิดมาจากความรักที่อยู่ในวงกว้างจนครอบคลุมสังคมส่วนใหญ่จึงทำให้สาวกได้กลายเป็นประชาชาติ และความแตกต่างอีกประการหนึ่งที่สามารถพบได้ระหว่างทั้งสองคือประชาชาติต้องมีรัฐบาล เมื่อรัฐบาลเป็นของอิมามฮุเซนแล้ว บรรดาสาวกก็จะกลายเป็นประชาชาติ ดังนั้น การที่ ชะฮีดนายพล กอเซ็ม สุไลมานี กล่าวประโยคนี้ก็เพื่อให้เป็นที่ประจักษ์ชัดว่าทั้งรัฐบาลของอิหร่านและประชาชาติอิหร่านเป็นของอิมามฮุเซน (อ)”
ซัยยิด สุไลมาน ฮุซัยนี กล่าวเสริมว่า “หากความรักนี้ ความมุ่งมั่นนี้และการเสียสละตนเองนี้ ได้พัฒนาไปถึงระดับสูงสุดของมันและเกิดขึ้นทั่วไปในหมู่พวกเรา เราก็จะกลายเป็นประชาชาติของอิมามฮุเซน (อ) เช่นเดียวกัน”