นิสสัน ประกาศผู้ชนะโครงการนวัตกรรมเพื่อสังคม “แค่ใจก็เพียงพอ” ปีที่ 4 12 ผลงานต้นแบบจากนวัตกรรุ่นใหม่ที่พร้อมแก้ปัญหาชุมชน และสังคมอย่างจริง นิสสันเดินหน้าสนับสนุนนวัตกรรมเพื่อพัฒนาสังคมไทยอย่างยั่งยืน
กรุงเทพฯ, ประเทศไทย – ทีม ‘Silapatech’ คว้าชัยชนะจากโครงการ “แค่ใจก็เพียงพอ” ปีที่ 4 โครงการการประกวดแข่งขันนวัตกรรมเพื่อสังคมที่จัดขึ้นโดยนิสสัน ประเทศไทย และพันธมิตรมากมาย ด้วยผลงานต้นแบบ ‘Soundawearดีไวส์อัจฉริยะ ที่จะเปลี่ยนเสียงต่าง ๆ เป็นการสั่นสะเทือนที่แตกต่างกัน เพื่อให้ผู้ที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน สามารถรับรู้ และตอบสนองต่อเสียงต่าง ๆ โดยเฉพาะเสียงเตือนสถานการณ์อันตรายจากจุดที่อับสายตา อย่างเสียงแตรรถจากทางด้านหลังได้อย่างทันท่วงที รวมถึงยังขยายประสาทสัมผัส (sense) ให้พวกเขาสามารถรับรู้ถึงท่วงทำนองของบทเพลง และได้รับความเพลิดเพลินเหมือนคนทั่วไป สำหรับรางวัลชนะเลิศอันดับที่ 2 ทีม ‘GreenDot.’ กับผลงานแพลตฟอร์ม และแอปพลิเคชัน GreenDot. (กรีนดอท) ที่จะเป็นตัวกลางในการวิเคราะห์ความสามารถในการกำจัดคาร์บอนตามธรรมชาติของต้นไม้ ทั้งต้นไม้สาธารณะ ต้นไม้เอกชน และป่า ในแต่ละพื้นที่ทั่วประเทศไทย เพื่อการออกแบบ วางแผน และลงมือจัดการสิ่งแวดล้อมร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด และ อันดับที่ 3 ทีม ‘กาชาปองสุราษฎร์ธานี’ กับผลงาน ‘Gacha Thani’ ที่ช่วยพัฒนาประสบการณ์การท่องเที่ยวของจังหวัดสุราษฎร์ธานี และจังหวัดอื่น ๆ ในประเทศไทย ผ่านของที่ระลึกอย่างงานหัตถกรรมพื้นถิ่นในรูปแบบกาชาปอง และแอปพลิเคชันที่มีเทคโนโลยีสมัยใหม่ผสานภาพสามมิติ ที่ช่วยให้ชุมชนสามารถนำเสนอสถานที่ท่องเที่ยว เรื่องราวที่น่าสนใจ และโปรโมทสิ่งที่น่าสนใจเสมือนมีดิจิทัลไกด์ไปด้วยทุกที่
หลังจากที่ผู้เข้าแข่งขันทั้งหมดได้เข้าร่วมหลักสูตรบ่มเพาะพัฒนาไอเดีย การเป็นนวัตกร ผ่านแฮกกาธอน (Hackathon) ในรูปแบบระบบดิจิทัลนานกว่า 3 เดือน จนนำมาสู่ผลงานต้นแบบทั้ง 12 ผลงาน ซึ่งจะกลายเป็นนวัตกรรมที่สามารถแก้ปัญหาและยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนในสังคมได้อย่างยั่งยืน พร้อมทั้งยังเป็นส่วนช่วยผลักดันประเทศไทยให้กลายเป็นสังคมแห่งนวัตกรรมได้ในอนาคต
โดยในปีนี้ โครงการฯ มีผู้เข้าร่วมคัดเลือกกว่า 337 ทีม รวมผลงานส่งประกวดกว่า 187 ผลงาน ก่อนที่จะคัดเลือกให้เหลือ 12 ทีมสุดท้าย จากการพิจารณาของคณะกรรมการและผลโหวตออนไลน์ที่เปิดให้ประชาชนทั่วไปสามารถเข้ามาโหวตได้ตั้งแต่ปีที่ผ่านมา
สำหรับโครงการในปีที่ 4 นี้ ทางนิสสัน ได้หยิบยกประเด็นเกี่ยวกับนวัตกรรมที่สามารถแก้ปัญหาต่าง ๆ ของชุมชนในแต่ละท้องถิ่น รวมถึงการพัฒนาสิ่งแวดล้อม และการยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนในวงกว้าง มาเป็นหัวใจสำคัญในการประกวด โดยได้ร่วมกับพันธมิตรต่าง ๆ ทั้งหน่วยงานภาครัฐ และองค์กรเอกชนชั้นนำมากมาย เพื่อส่งเสริมการแบ่งปันความรู้ ที่สามารถพัฒนาศักยภาพ และสร้างแรงบันดาลใจให้กับนวัตกรไทยรุ่นใหม่ โดยมีเป้าหมายในการสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกต่อชุมชนท้องถิ่นได้อย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน ผ่านโซลูชั่นต่าง ๆ ที่พัฒนามาจากผลงานต้นแบบของแต่ละโครงการนวัตกรรม รวมถึงยังสามารถนำมาแก้ไขปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อมที่เฉพาะเจาะจงตามแต่ละบริบท
สำหรับจุดเด่นของโครงการฯ ที่แตกต่างจากการประกวดอื่น ๆ คือการจัดกิจกรรมเพาะบ่มนวัตกรและแฮกกาธอนผ่านการเรียนรู้เกี่ยวกับองค์ประกอบพื้นฐานและกระบวนการสร้างสรรค์ในการคิดค้นนวัตกรรมเพื่อสังคม จากผู้เชี่ยวชาญอย่างสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ สนช. (NIA) นอกจากนี้ ยังได้รับการสนับสนุนเทคโนโลยีต่าง ๆ จากองค์กรไอทีชั้นนำระดับโลกอย่าง ไมโครซอฟท์ (Microsoft) อาทิ ระบบคลาวด์อัจฉริยะ (Azure) ฯลฯ ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้ทุกทีมสามารถก้าวข้ามขีดจำกัดในยุคดิจิตอลอย่างราบรื่น รวมถึง บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) (เอไอเอส – AIS) ผู้สร้างสรรค์เทคโนโลยี และแพลตฟอร์มฟาร์มอัจฉริยะ Intelligent Farm (iFarm) โดยผู้เข้ารอบสุดท้ายทั้ง 12 ทีม จะได้เข้ากิจกรรมดังกล่าวเพื่อร่วมกันพัฒนาผลงานต้นแบบให้ออกมาอย่างสมบูรณ์ที่สุด
“ผมขอแสดงความยินดีกับทีมผู้ชนะ ทีม ‘Silapatech’ รวมถึงผู้เข้ารอบสุดท้ายทุกคนที่ได้นำเสนอผลงานที่ยอดเยี่ยม ซึ่งล้วนแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจในการสร้างสรรค์ผลงานนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ปัญหาของสังคมในมุมที่แตกต่างกันอย่างเต็มที่” ชยภัค ลายสุวรรณ ผู้จัดการทั่วไป สายงานการสื่อสาร นิสสัน มอเตอร์ ประเทศไทย กล่าว “การจัดโครงการในครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินการทุกอย่างของนิสสัน ที่เรากล้าที่จะเอาชนะทุกข้อจำกัด และทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ให้เป็นไปได้ โดยผมรู้สึกประทับใจอย่างมากกับทุกแนวคิด ทุกความตั้งใจ ตลอดจนความคิดสร้างสรรค์ของผู้เข้ารอบสุดท้ายทั้ง 12 ทีม ที่สื่อออกมาอย่างชัดเจนผ่านผลงานคุณภาพ ซึ่งผมเชื่อว่าจะมีส่วนช่วยแก้ปัญหาต่าง ๆ และ็มทพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับประชาชน และส่งผลเชิงบวกในวงกว้าง ตลอดจนขับเคลื่อนสังคมให้ดียิ่งขึ้นต่อไปในอนาคตอย่างยั่งยืน”