เจ้าชายระดับสูงองค์หนึ่งของซุดี้ฯ ได้ทำการเรียกร้องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเพื่อให้เปลี่ยนตัวผู้นำประเทศ ขณะที่ประเทศเผชิญหน้ากับความท้าทายใหญ่หลวงที่สุดในรอบหลายปีในรูปแบบของสงคราม, การดิ่งลงของราคาน้ำมัน และเสียงวิจารณ์ถึงการจัดการที่มักกะฮ์ สถานที่เกิดโศกนาฏกรรมในเทศกาลฮัจญ์เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
เจ้าชายองค์นี้ ซึ่งเป็นพระนัดดาองค์หนึ่งของอับดุลอาซิซ อิบนฺ ซาอูด ผู้ก่อตั้งรัฐ ได้บอกกับ the Guardian ว่า มีความกระวนกระวายใจในระหว่างเชื้อพระวงศ์ และในหมู่สาธารณชนวงกว้าง เกี่ยวกับความเป็นผู้นำของกษัตริย์ซัลมาน ผู้ได้ขึ้นครองราชย์เมื่อเดือนมกราคม
เจ้าชายองค์นี้ ผู้ซึ่งไม่เปิดเผยชื่อด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย ได้เขียนจดหมายสองฉบับเมื่อต้นเดือนนี้เรียกร้องให้ถอดถอนกษัตริย์
“กษัตริย์ไม่อยู่ในสภาพที่มั่นคง และในความเป็นจริง พระราชโอรสของกษัตริย์ (มุฮัมมัด บิน ซัลมาน) กำลังปกครองราชอาณาจักรนี้อยู่” เจ้าชายองค์นี้กล่าว “ดังนั้น พระปิตุลา(ลุง)ของข้าพเจ้าสี่ หรืออาจจะห้าพระองค์ จะประชุมกันเร็วๆ นี้เพื่อหารือถึงจดหมายเหล่านี้ พวกท่านจะกำหนดแผนการร่วมกับพระภาติยะ(หลานชาย) หลายองค์ และนั่นจะเป็นทำให้เรื่องมันง่ายขึ้น เชื้อพระวงศ์รุ่นที่สองหลายพระองค์มีความกังวลใจเป็นอย่างยิ่ง”
“สาธารณชนก็กำลังผลักดันเรื่องนี้อย่างหนักเช่นกัน ประชาชนทุกหมู่เหล่า ผู้นำเผ่าต่างๆ” เจ้าชายกล่าวเสริม “พวกเขาบอกว่าคุณต้องทำเรื่องนี้ มิฉะนั้นประเทศจะพบกับความหายนะ”
ปัจจัยหลายอย่างกำลังกระทบกับกษัตริย์ซัลมาน, มกุฏราชกุมาร เจ้าชายมุฮัมมัด บิน นาเยฟ, และรองมกุฏราชกุมาร เจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน
โศกนาฏกรรมสองครั้งซ้อนในมักกะฮ์ เครนก่อสร้างล้มที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 100 คน และตามมาด้วยการแตกตื่นจนเหยียบกันเมื่อสัปดาห์ที่แล้วที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 700 คน ได้ทำให้เกิดคำถามขึ้นมากมายที่ไม่ใช่เกี่ยวกับประเด็นทางสังคมเท่านั้น แต่เกี่ยวกับการกำกับดูแลสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในอิสลามของราชวงศ์ด้วย
เช่นเคย ทางการซาอุดี้ฯ ปฏิเสธอย่างหนักแน่นต่อทุกข้อเสนอแนะที่ว่าสมาชิกรัฐบาลระดับสูงคนหนึ่งอาจจะมีส่วนรับผิดชอบต่อความผิดพลาดที่เกิดขึ้นนี้
อย่างไรก็ตาม ประชาชนในประเทศได้ให้ความชัดเจนทางสื่อสังคมและที่อื่นๆ แล้วว่า พวกเขาไม่เชื่อการกล่าวอ้างเช่นนั้นอีกต่อไปแล้ว
“ประชาชนภายใน(ราชอาณาจักร) รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พวกเขาไม่สามารถพูดได้ ปัญหาคือการทุจริตในการใช้ทรัพยากรของประเทศเพื่อก่อสร้างสิ่งต่างๆ ในรูปแบบที่ถูกต้อง” นักเคลื่อนไหวคนหนึ่งที่อาศัยอยู่ในมักกะฮ์กล่าว แต่ไม่ต้องการให้ระบุชื่อเพราะกลัวผลสะท้อนกลับ
“น่าเสียดายที่รัฐบาลชี้นิ้วไปยังระดับล่างๆ เช่นพูดว่า ‘รถพยาบาลอยู่ที่ไหน? บุคลากรทางการแพทย์อยู่ที่ไหน? พวกเขาพยายามที่จะหลบเลี่ยงเหตุผลที่แท้จริงของความเสียหายนั้น” เขากล่าวเสริม
ความชอบธรรมทางศาสนาและทางการเมืองของซาอุดี้ฯ ได้รับการกล่าวถึงด้วยข้ออ้างที่ว่า พวกเขาจัดการสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นอย่างเหมาะสม และทำให้มันเป็นที่ปลอดภัยสำหรับมุสลิมทุกคน เนื่องจากไม่มีระบอบกษัตริย์ในอิสลาม และซาอุดิอารเบียเองก็ไม่ได้ถูกกล่าวถึงไว้ในคัมภีร์กุรอาน ความชอบธรรมจึงเป็นประเด็นพื้นฐานสำหรับซาอุดี้ฯ และภัยพิบัติในพิธีฮัจญ์เป็นอันตรายอย่างยิ่ง
แต่เรื่องที่เร่งด่วนพอกันก็คือเรื่องของน้ำมัน ซึ่งราคาได้ตกลงมากกว่า 50% ในปีที่ผ่านมา เมื่อวันจันทร์ Financial Times รายงานว่า ซาอุดิอารเบียได้ถอนเงินจากกองทุนรวมในต่างประเทศมากถึง 70 ล้านล้านดอลล่าร์ เพื่อพยุงสถานะการคลังในช่วงราคาน้ำมันตกต่ำ
นายอลัสแตร์ นิวตัน ผู้อำนวยการ Alavan Business Advisory กล่าวว่า งบประมาณที่เผยแพร่ของซาอุดิอารเบียปีนี้ขึ้นอยู่กับการขายน้ำมันที่ราคาประมาณ 90 ดอลล่าร์ต่อบาร์เรล แต่เนื่องจากค่าใช้จ่ายเฉพาะกิจเช่น การบริจาคภายหลังการขึ้นครองราชย์ของกษัตริย์ซัลมาน, สงครามในเยเมน, และการรักษาความมั่นคงภายในประเทศจากภัยคุกคามของไอซิซ สถานะการคลังจะอยู่ในสภาพสมดุลได้ด้วยราคาน้ำมันประมาณบาร์เรลละ 110 ดอลล่าร์
ด้วยราคาน้ำมันที่ต่ำกว่า 50 ดอลล่าร์ ขณะนี้ เริ่มเป็นการบ่งบอกถึงความอ่อนแอทางการคลัง ค่ามาตรฐานดัชนีหุ้น Tadawul All Share ตกลงมากกว่า 30% ใน 12 เดือนที่ผ่านมา
“พวกเขามีทรัพยากรเพียงพอที่จะพยุงสถานการณ์นี้ไปอีกย่างน้อยหนึ่งปี แม้ว่ามันจะเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงมากสำหรับพวกเขาก็ตาม” คอยรอลลอฮ์ คอยรอลลอฮ์ อดีตบรรณาธิการบริหารของหนังสือพิม์ al-Hayat ของซาอุดี้ฯ กล่าว
กองทุนการเงินระหว่างประเทศคาดการณ์ไว้แล้วว่า การขาดดุลงบประมาณของซาอุดิอารเบียจะสูงถึง 107 ล้านล้านดอลล่าร์ ในปีนี้ ถึงกระนั้นงบประมาณที่ประกาศสำหรับปีหน้าก็เพิ่มขึ้นอย่างจำกัด
“กษัตริย์มีหน้าที่ดูแลนโยบายน้ำมันในประเทศร่วมกับพระราชโอรสของพระองค์ มุฮัมมัด บิน ซัลมาน ส่วนมุฮัมมัด บิน ซัลมานยังมีหน้าที่รับผิดชอบบริษัท Aramco (บริษัทน้ำมันของรัฐ) อีกด้วย เจ้าชายมกุฏราชกุมาร (มุฮัมมัด บิน นาเยฟ) มีหน้าที่ดูแลด้านความมั่นคงเป็นหลัก นี่คือผู้เล่นหลักในซาอุดิอารเบีย พวกเขาแบ่งความรับผิดชอบกัน” คอยรอลลอฮ์ คอยรอลลอฮ์กล่าว
เจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน เป็นสมาชิกใหม่ในทีมผู้นำระดับสูงของซาอุดี้ฯ แต่กลับเป็นผู้ที่เป็นประเด็นถกเถียงมากที่สุดไปแล้ว
แม้ว่าจะมีอายุน้อยมากตามมาตรฐานของซาอุดี้ฯ ที่ต้องอายุ 35 ปีขึ้นไป แต่ข่าวลือว่าพระองค์อายุน้อยกว่านั้นมาก พระองค์ได้รับหลายตำแหน่ง เช่น รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม, ประธานสภาเศรษฐกิจและกิจการการพัฒนา ซึ่งเป็นคณะกรรมการกำหนดนโยบายเศรษฐกิจสำคัญของประเทศ
สิ่งนี้ทำให้พระองค์ต้องรับผิดชอบกับปัญหามากมายของซาอุดิอารเบีย ที่สำคัญที่สุดคือการทำสงครามในเยเมนประเทศเพื่อนบ้าน ที่ซึ่งกบฏเฮาซีกำลังถูกโจมตีจากกองกำลังทางอากาศและภาคพื้นดินของซาอุดี้ฯ
ชาวซาอุดี้ฯ จำนวนมากไม่สบายใจที่เห็นประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในโลกอาหรับนี้กำลังจมดิ่งสู่ระดับที่ยากจนที่สุดของมัน และขณะที่ค่าครองชีพเพิ่มสูงขึ้น ก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันว่า เจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน ผู้ที่มีชื่อเล่นอย่างไม่เป็นทางการว่า “คนใจร้อน” ได้บุ่มบ่ามเข้าไปโดยไม่มียุทธศาสตร์ทางทหารที่เหมาะสมหรือว่าแผนสำรงไว้เลย
“นี่เป็นการทำสงครามกับประชาชาติเยเมน และกับการเป็นเอกราชของเยเมน” จ่าสิบเอกพิเศษ ดาคีล นาซิร อัล กอตานี กล่าว เขาเป็นอดีตหัวหน้ากองกำลังปฏิบัติการทางอากาศที่ฐานทัพอากาศคิงอับดุลอาซิซ ในเมืองดาห์ราน ผู้ที่ละทิ้งหน้าที่จากกองกำลังติดอาวุธของซาอุดี้ฯ เมื่อปีที่แล้ว
“มันไม่มีพื้นฐานทางการเมืองที่ชบธรรมเลย และมันไม่ใช่สิ่งที่ประชาชนต้องการ” เขากล่าว “ประชาชนเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ในซาอุดิอารเบียไม่ต้องการให้สิ่งนี้เกิดขึ้น มันตรงข้ามกันกับสิ่งที่สื่อนำเสนอโดยสิ้นเชิง”
“มันเกิดขึ้นเนื่องจากไม่มีสถาบันของพลเมืองแห่งชาติเลยในซาอุดิอารเบีย และเพราะอัล-ซาอูดได้ให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ของตัวเองมากกว่าผลประโยชน์ของชาติ”
จดหมายที่เขียนเป็นภาษาอาหรับเรียกร้องให้โค่นล้มกษัตริย์ฉบับนี้ ถูกอ่านไปแล้วมากกว่า 2 ล้านครั้ง จดหมายฉบับนี้เรียกร้องให้พระราชโอรสของอิบนฺ ซาอูด ที่ยังมีชีวิตอยู่ 13 องค์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เจ้าชายตาลาล, เจ้าชายเตอร์กี และเจ้าชายอะห์มัด บิน อับดุลอาซิซ ให้ร่วมมือกันและปลดผู้นำด้วยการทำรัฐประหารในราชสำนัก ก่อนที่จะมีการเลือกรัฐบาลชุดใหม่จากภายในราชวงศ์นี้
“ทำให้ผู้ที่มีอายุมากที่สุดและมีศักยภาพมากที่สุดเข้ามารับช่วงในกิจการต่างๆ ของรัฐ ปล่อยให้กษัตริย์และเจ้าชายมกุฏราชกุมารองค์ใหม่ได้รับคำสัตย์ปฏิญาณจากทุกคน และยกเลิกตำแหน่งใหม่ที่แปลกประหลาดของรองนายกรัฐมนตรีอันดับสอง” จดหมายฉบับแรกระบุ
“เราขอเรียกร้องให้พระราชโอรสของอิบนฺ ซาอูด ตั้งแต่เจ้าชายบันดาร์องค์โตสุด ไปจนถึงเจ้าชายมุกริน องค์เล็กสุด ให้ทำการประชุมโดยเร่งด่วนกับสมาชิกราชวงศ์ระดับสูง เพื่อพิจารณาสถานการณ์และหาวิธีที่เราจะสามารถดำเนินการได้เพื่อรักษาประเทศ, เพื่อทำการเปลี่ยนแปลงในตำแหน่งสำคัญๆ, เพื่อนำความรู้ความชำนาญจากตระกูลผู้ปกครองมาใช้ ไม่ว่าพวกเขาจะมาจากรุ่นใดก็ตาม”
จดหมายเหล่านี้ไม่เหมือนกับสิ่งใดที่เคยเกิดขึ้นนับตั้งแต่ที่กษัตริย์ไฟซาลได้ปลดกษัตริย์ซาอูดในการทำรัฐประหารของราชสำนักเมื่ปี 1964
เจ้าชายผู้อยู่เบื้องหลังจดหมายเหล่านี้อ้างว่า ได้รับการสนับสนุนอย่างกว้างขวางจากทั้งภายในราชวงศ์และสังคมในวงกว้าง แต่จนถึงขณะนี้มีเพียงเชื้อพระวงศ์อาวุโสอีกองค์หนึ่งเท่านั้นที่ได้ให้การรับรองจดหมายฉบับนี้ ซึ่งอาจจะได้รับสิ่งที่เป็นประวัติอันโหดเหี้ยมของซาอุดี้ฯ ในการลงโทษฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองอย่างไม่น่าประหลาดใจ
เช่นเดียวกับประเทศอาหรับสมัยใหม่หลายประเทศ ซาอุดิอารเบียเป็นการก่อสร้างของศตวรรษที่ 20 ตั้งแต่ปี 1932 ที่ซาอุดิอารเบียถูกสถาปนาขึ้น ราชวงศ์นี้ได้ร่วมกันรักษาประเทศนี้ไว้ด้วยการใช้อำนาจ แต่เมื่อสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและการเมืองทั้งภายในและโดยรอบอาณาเขตซาอุดิอารเบีย และการต่อสู้ภายในราชวงศ์กำลังทวีความรุนแรงขึ้น ความเป็นไปได้ที่จะเกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญก็กำลังเพิ่มความเป็นไปได้มากยิ่งขึ้น
นักแปล, โต๊ะข่าวต่างประเทศ