แกนนำกลุ่มไทยไม่ทนหลายคนสวมเสื้อสกรีน “Free Palestine” ระหว่างยื่นหนังสือ ‘บันทึกความล้มเหลวของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา’ ที่หน้าทำเนียบรัฐบาล จับตา 24 มิ.ย.นี้ คาดประเด็นลิดรอนสิทธิ เสรีภาพในการแสดงออกของชาวไทยมุสลิม กรณีเจ้าหน้าที่สั่ง “ปลดป้ายสนับสนุนปาเลสไตน์” จะถูกนำขึ้นปราศรัยบนเวทีไล่รัฐบาล
เมื่อเวลา 10.00 น. ของวันอังคาร ที่ 15 มิถุนายน ที่ผ่านมา คณะสามัคคีประชาชนเพื่อประเทศไทย #กลุ่มไทยไม่ทน นำโดย นายอดุลย์ เขียวบริบูรณ์ ประธานคณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 35 นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) นายเมธา มาสขาว เลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) และคณะ ได้ยื่นหนังสือ “บันทึกความล้มเหลว” ถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ผ่านนายสมพาศ นิลพันธ์ ที่ปรึกษาสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ ทำเนียบรัฐบาล โดยเนื้อหาบันทึกมีรายละเอียดความล้มเหลวต่างๆ รวม 17 ข้อ
ในการยื่นหนังสือดังกล่าว เป็นที่น่าสังเกตว่ามีแกนนำในคณะกลุ่มไทยไม่ทนหลายคน เช่น นางพะเยาว์ อัคฮาด นายยศวริศ ชูกล่อม หรือเจ๋ง ดอกจิก นายจอมพล ปฏิวัติ นายฟารูก พีรูซอะลี และอีกหลายคน ได้สวมเสื้อยืด สกรีน ลายธงชาติปาเลสไตน์ พร้อมคำว่า “Free Palestine” บริเวณหน้าอก
ผู้สื่อข่าวพบว่า รูปแบบเลย์เอาท์เสื้อสกรีนดังกล่าวเหมือนกับรูปแบบของป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ บริเวณทางด่วนช่วงจะลงไปยังถนนสาธุประดิษฐ์ ที่ก่อนหน้านี้ชาวมุสลิมไทยกลุ่มหนึ่งได้เช่าเพื่อแสดงจุดยืนสนับสนุนชาวปาเลสไตน์ที่ถูกยึดครองดินแดนโดยอิสราเอล และปรากฏว่าได้ถูกเจ้าหน้าที่ทางการไทยกดดันอย่างหนักจนต้องปลดป้ายดังกล่าวออกภายในไม่กี่วัน

ทั้งนี้กลุ่มไทยไม่ทน มีกำหนดการที่จะจัดการชุมนุมในวันที่ 24 มิถุนายนนี้ ที่ทำเนียบรัฐบาล เพื่อขับไล่ในสิ่งที่พวกเขาเรียกว่า “ระบอบประยุทธ์” ดังนั้น เมื่อพิจารณาจากการแสดงเชิงสัญลักษณ์ของแกนนำบางคนผ่านการสวมเสื้อสกรีน ลายธงชาติปาเลสไตน์ จึงคาดว่า ประเด็นสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกของชาวไทยมุสลิม สืบเนื่องเจ้าหน้าที่สั่ง “ปลดป้ายสนับสนุนปาเลสไตน์” จะถูกหยิบยกมาเป็นส่วนหนึ่งของการปราศรัยบนเวทีขับไล่รัฐบาล
มาแน่! ประเด็นร้อนบนเวทีปราศรัยขับไล่รัฐบาล
ผู้สื่อข่าวเดอะพับลิกโพสต์ได้สอบถามวัตถุประสงค์ในการสวมเสื้อลายธงชาติปาเลสไตน์ไปยัง นายฟารูก พีรูซอะลี อดีตผู้สมัครส.ส.จังหวัดสตูล ชาวไทยมุสลิมผู้เป็นคนสนิทของนายจตุพร พรหมพันธุ์ และเป็นคนหนึ่งที่สวมเสื้อลายธงชาติปาเลสไตน์ในวันยื่นหนังสือที่นำเนียบรัฐบาล เขาบอกว่า “เจตนารมณ์ของคณะสามัคคีประชาชนเพื่อประเทศไทย #กลุ่มไทยไม่ทน ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่การขับไล่รัฐบาลเท่านั้น แต่เพื่อผดุงความยุติธรรมและฟื้นฟูสังคมในทุกมิติ เพื่อชาวไทยทุกหมู่เหล่า โดยไม่มีการแบ่งแยก”

“รัฐบาลผูกขาดอำนาจครอบจักรวาล แม้กระทั่งเรื่องการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์อย่างการเช่าป้ายโฆษณาสนับสนุนปาเลสไตน์ของชาวไทยมุสลิม ซึ่งเป็นสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของชาวไทยทุกคน และไม่ได้ละเมิดกฎหมายใดๆ แต่ก็ถูกเจ้าหน้าที่รัฐกดดันอย่างหนักทุกทางจนผู้ให้เช่าป้ายหวาดกลัวและต้องเอาป้ายลงในที่สุด”
“ดังนั้นเรื่องนี้จะถูกหยิบยกขึ้นมากล่าวถึงบนเวทีการชุมนุมในวันที่ 24 มิถุนายนนี้อย่างแน่นอน โดยคุณจตุพร พรหมพันธุ์ และผู้ปราศรัยคนอื่นๆ เพื่อเรียกร้องสิทธิในการแสดงออกอันชอบธรรมให้แก่ชาวไทยมุสลิมที่ถูกละเมิดโดยเจ้าหน้าที่รัฐบางคนซึ่งรับคำสั่งมาปฏิบัติโดยไม่พิจารณาถึงความถูกต้อง” นายฟารูกกล่าว
อดีตผู้สมัครส.ส.จังหวัดสตูล ยังระบุด้วยว่า “เบื้องลึกเบื้องหลังของเรื่องนี้ยังหมิ่นเหม่ต่ออธิปไตยของชาติไทย เพราะผมมีข้อมูลว่า ชาติมหาอำนาจตะวันตกบางประเทศถึงกับรับไม่ได้กับที่มีป้ายสนับสนุนปาเลสไตน์ปรากฏกลางเมืองหลวง จึงกดดันมายังทางการไทยและมีการสั่งการตามลำดับชั้นให้เอาป้ายลงในที่สุด”
“บริหารประเทศแบบไหนกันจนตกอยู่ภายใต้อิทธิพลและเป็นลูกไล่ต่างชาติ จนยอมลิดรอนสิทธิของพลเมืองเพียงเพื่อเอาใจชาติตะวันตก แน่นอนว่าเราคงได้แฉกันบนเวทีครั้งนี้” นายฟารูกกล่าว
“จตุพร พรหมพันธุ์” กับ “สหายธรรมมุสลิม”
คณะสามัคคีประชาชนเพื่อประเทศไทย #กลุ่มไทยไม่ทน มี “จตุพร พรหมพันธุ์” เป็นแกนนำสำคัญ ที่ผ่านมาการขับเคลื่อนของเขามุ่งเน้นไปที่วาระทางการเมืองเป็นหลัก เมื่อมีการหยิบยกกรณีป้ายสนับสนุนปาเลสไตน์ของชาวมุสลิมไทย มาเป็นหนึ่งในวาระของกลุ่มไทยไม่ทน จึงอาจสร้างความฉงนให้ผู้คนที่ติดตามย่างก้าวของเขา
แต่หากรู้จักพื้นเพแวดวงสังคมของนายจตุพร จะพบว่า เขามีความสัมพันธ์สนิทใกล้ชิดกับชาวมุสลิมในระดับสำคัญ
ในปัจจุบันคนสนิทที่ตามติดเป็นเงาของนายจตุพร คือ “นายฟารูก พีรูซอะลี” ก็เป็นชาวมุสลิมน้องรัก
นอกจากนั้น “นายอุสมาน ลูกหยี” ที่เสียชีวิตไปแล้ว ก็เป็นมุสลิมที่นับเป็นน้องรักคนสำคัญของนายจตุพร พวกเขาร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาตั้งแต่ยังเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง ทำกิจกรรมร่วมกันมามากมาย ในวันที่เสียชีวิตนายอุสมานดำรงตำแหน่งประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อชาติ ที่นายจตุพรสนับสนุนขณะนั้น
ในงานพิธีฝังศพของนายอุสมาน ลูกหยี ที่มัสยิดรูฮุลลอฮ์ ต.โพธิ์ทอง อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช นายจตุพร พรหมพันธุ์ พร้อมคณะได้เดินทางไปร่วมในงานพิธี โดยนายจตุพรอยู่ในอาการซึมเศร้า เดินประกบหีบศพลูกหยีไม่ห่าง พร้อมจับจอบลงมือขุดหลุมศพ ร่วมยกร่างไร้วิญญาณลงหลุม แล้วกลบดิน ส่งดวงวิญญาณลูกหยีไปสู่พระหัตถ์ของ “อัลเลาะห์” ตามหลักศาสนาอิสลาม
จตุพรโพสต์เฟซบุ๊ก ไว้อาลัยถึงอุสมาน ลูกหยี ว่า “ด้วยจิตคารวะ คือนักสู้ตัวจริง ยิ่งกว่าสู้ มีหัวใจดำรงอยู่ด้วยศักดิ์ศรี ประชาธิปไตยเทิดไว้ในใจนี้ อาลัย อุสมาน ลูกหยี ที่เรารัก ขอให้น้องชาย ผู้ร่วมเป็นร่วมตาย ให้อยู่กับพระผู้เป็นเจ้า พี่ไม่มีวันลืมลูกหยี ขอบคุณทุกอย่าง ชาติหน้าพบกัน พี่รักลูกหยีมาก”
นอกจากนั้น นายจุตพร ยังกล่าวกับผู้สื่อข่าวอีกด้วยว่า “ยอมรับว่ารู้สึกเศร้าเสียใจมาก เพราะดูแล และติดตามกันมาตั้งแต่สมัยเรียน ม.รามคำแหง ในยุทธภพนี้ก็รู้ว่าเขาไม่มีวันตามหลังใครยกเว้นผมคนเดียว ตั้งแต่ที่อยู่รามคำแหงมาแล้ว ใครจะชวนเขา เขาเป็นจอมยุทธ์คนหนึ่ง ใครจะชวนเขาอย่างไรเขาก็ไม่มีวันที่จะยินยอม ยกเว้นผมชวนเขา เขาก็ไม่เคยปฏิเสธกันในตลอดชีวิตนี้”
พิจารณาจากความสัมพันธ์เหล่านี้ กล่าวได้ว่านายจพุพรไม่ได้ห่างไกลจากแวดวงชาวมุสลิม อีกทั้งในฐานะนักต่อสู้เรียกร้องสิทธิเสรีภาพและความยุติธรรม เขาย่อมเข้าใจความคับข้องใจของชาวมุสลิมจากการถูกคุกคามปลดป้าย และเมื่อเป็นเรื่องของการลิดรอนสิทธิเสรีภาพจากเจ้าหน้าที่รัฐก็ทำให้ประเด็นดังกล่าวไม่ได้อยู่นอกวาระการต่อสู้ของกลุ่มไทยไม่ทน ดังนั้นการหยิบยกเรื่องนี้มาจึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไร แถมจะได้แนวร่วมจากชาวมุสลิมไปโดยปริยาย
สนับสนุนปาเลสไตน์เป็นสิทธิเสรีภาพ
การซื้อป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ของชาวไทยมุสลิมเพื่อสนับสนุนปาเลสไตน์บริเวณทางด่วน ย่านทางลงถนนสาธุประดิษฐ์ โดยในป้ายปรากฏธงชาติปาเลสไตน์และข้อความภาษาอังกฤษ “Free Palestine” ถือเป็นครั้งแรกและเป็นรูปแบบใหม่ของการแสดงออกถึงการสนับสนุนปาเลสไตน์ในประเทศไทย อย่างไรก็ตาม เมื่อป้ายดังกล่าวถูกปลดลงจากแรงกดดันเจ้าหน้าที่รัฐ ได้นำไปสู่การตั้งคำถามมากมายจากชาวไทยทั้งมุสลิม ขณะที่นักเคลื่อนไหวหลายคนก็ดาหน้าออกมาตำหนิการกดดันนี้
นายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชัน ได้แสดงความคิดเห็นผ่านเฟสบุ๊กส่วนตัว ว่า “เจ้าหน้าที่ทั้งตำรวจและหน่วยงานอื่น อย่าไปข่มขู่ คุกคาม เจ้าของป้าย เพื่อให้เอาป้ายโฆษณาดังกล่าวออก การขึ้นป้าย โดยมีข้อความให้ปลดปล่อยพลเรือนชาวปาเลสไตน์ เป็นการใช้สิทธิและเสรีภาพ ภายใต้ขอบเขตของกฎหมาย ที่สำคัญเป็นการแสดงออกทางด้านมนุษยธรรมที่มีให้แก่ชาวปาเลสไตน์”
นายไทกร พลสุวรรณ นักเคลื่อนไหวทางการเมือง ก็ได้แสดงความคิดเห็นผ่านเฟสบุ๊กส่วนตัว ว่า “การสนับสนุนหลักสิทธิเสรีภาพ บูรณภาพแห่งดินแดน และหลักสิทธิมนุษยชนของแต่ละชาตินั้นสำคัญมาก ปาเลสไตน์ได้รับรองสถานะเป็นรัฐปกครองตัวเอง Non-member Observer State ของสหประชาชาติ ในเวที UNGA 67 ตามการประชุมในปี ค.ศ. 2015 (พ.ศ.2555)ซึ่งไทยก็เป็นหนึ่งในชาติที่ให้การรับรองรัฐปาเลสไตน์
“ดังนั้นการแสดงสิทธิเสรีภาพของคนไทยที่ห่วงใยต่อชีวิตของชาวปาเลสไตน์จึงเป็นเรื่องที่สามารถทำได้ตามหลักคุณธรรมและหลักสิทธิเสรีภาพและสิทธิพลเมืองที่รัฐธรรมนูญทุกฉบับได้รับรองไว้”
“ดังนั้นการที่รัฐบาลประยุทธ์อ้างประเทศมหาอำนาจไม่พอใจอยากให้ปลดป้ายออก โดยแอบใช้อำนาจมืดกดดันให้ปลดป้าย FREEPALESTINE ออก ถือเป็นการใช้อำนาจรัฐที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนของคนในชาติตนเอง”
ขณะที่ นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ได้ไลฟ์สดรายการ “SONDHI TALK” ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” โดยในช่วงหนึ่งของรายการนายสนธิได้กล่าวถึง กรณีเจ้าหน้าที่ทางการไทยสั่งการและกดดันให้ปลดป้ายบิลบอร์ดสนับสนุนปาเลสไตน์ของชาวไทยมุสลิม พร้อมตำหนิอย่างรุนแรงต่อผู้ที่อยู่เบื้องหลังสั่งปลดป้ายบิลบอร์ดดังกล่าว
ท่าทีของพวกเขาได้รับความชื่นชมจากชาวมุสลิมไทยอย่างล้นหลาม เฉพาะไลฟ์สดของนายสนธิเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวมีผู้เข้าชมหลายแสนครั้งจากทุกช่องทาง
อย่างไรก็ตามด้วยบุคคลที่กล่าวชื่อมาล้วนเป็นนักเคลื่อนไหวทางการเมือง อีกทั้งเชื่อมโยงอยู่ในเครือข่ายไทยไม่ทนที่สวมเสื้อสกรีนลายธงปาเลสไตน์และมีกำหนดชุมนุมขับไล่รัฐบาล ทางหนึ่งจึงทำให้หลายคนแอบหวั่นว่าประเด็นนี้จะถูกใช้เป็นเครืองมือทางการเมือง กระนั้น ในอีกทางหนึ่ง หลายคนก็เชื่อว่า เพราะพวกเขายึดมั่นในเรื่องสิทธิเสรีภาพ มีใจเป็นธรรม และเห็นอกเห็นใจการถูกกระทำจากเจ้าหน้าที่รัฐ สอดคล้องกับความเห็นของนักวิเคราะห์จำนวนหนึ่งที่เชื่อว่า เหตุการณ์ความขัดแย้งอิสราเอล-ปาเลสไตน์ ครั้งล่าสุดได้ทำให้เกิดความสนใจ ความเข้าใจใหม่ หรือทัศนคติใหม่ของโลกต่อปัญหาปาเลสไตน์ จนนำไปสู่การเดินขบวนสนับสนุนปาเลสไตน์ทั่วโลก
ผศ.ดร.มาโนชญ์ อารีย์ อาจารย์ประจำภาควิชารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ได้ให้ความเห็นต่อประเด็นนี้ในเฟสบุ๊กส่วนตัวว่า “ไม่ว่าจะมีการกดดันให้ปลดป้ายหรือไม่ก็ตาม การซื้อป้ายโฆษณาสนับสนุนปาเลสไตน์หรือการแสดงสัญลักษณ์สนับสนุนปาเลสไตน์จะกลายเป็นกระแสที่ปรากฏให้เห็นเพิ่มมากขึ้นเมื่อปัญหาอิสราเอล-ปาเลสไตน์ปะทุขึ้น เพียงแต่ว่าหากมีการสกัดกั้นเสรีภาพเกิดขึ้น (ซึ่งคงกั้นไม่อยู่) การแสดงออกจะลุกลาม สัญญาลักษณ์แสดงการสนับสนุนปาเลสไตน์อาจจะปรากฏขึ้นรวดเร็วมากมายเป็นดอกเห็ดตามตึก อาคาร ดานฟ้า หลังคาบ้าน ยานพาหะนะ เสื้อผ้า ฯลฯ ยิ่งปิดยิ่งเพิ่ม แต่หากปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติอาจจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นช้า ๆ และลดลงตามกระแสเหมือนไม้ดอกไม้ประดับที่พอให้เห็นถึงสีสันของประชาธิปไตยบ้าง”
“ไม่ว่าจะมีการกดดันให้ปลดป้ายหรือไม่ก็ตาม การแสดงสัญลักษณ์สนับสนุนปาเลสไตน์ก็จะไม่ขยายตัวมากขึ้น และกลับสู่ความเป็นปกติเมื่อวิกฤตปัญหาอิสราเอลปาเลสไตน์ผ่านพ้นไป แต่หากมีการห้ามหรือกดดันไม่ให้มีการแสดงสัญลักษณ์สนับสนุนปาเลสไตน์ แม้จะกดดันได้ตามวัตถุประสงค์แต่ก็ทำให้มวลชนจำนวนมากไม่พอใจ และกลายเป็นปัญหาเสื่อมศรัทธาต่อการทำงานของรัฐโดยใช่เหตุ เสียภาพลักษณ์ความเป็นประชาธิปไตย และจะส่งผลต่อบทบาทความน่าเชื่อถือของไทยในการส่งเสริมเสรีภาพในเวทีโลก โดยเฉพาะในอาเซียน รวมทั้งเสรีภาพในการแสดงออกในประเทศเพื่อนบ้านอย่างเมียนมา” นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านตะวันออกกลางและโลกมุสลิมระบุ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง