นายศุภกฤต บุญขันธ์ ผู้อำนวยการสำนักเทศกิจ กทม. กล่าวกรณีศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค.เห็นชอบการปรับพื้นที่ตามสถานการณ์การแพร่ระบาดและพิจารณาผ่อนคลายมาตรการตามระดับพื้นที่สถานการณ์ โดยเริ่มในวันที่ 21 มิ.ย.64 ว่า กรุงเทพมหานครคำนึงถึงความปลอด ภัยของประชาชน จึงได้เพิ่มมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างเข้มข้น โดยมอบหมายให้สำนักงานเขตตรวจเชิงรุกในสถานประกอบการ สถานบริการ และสถานบันเทิง เช่น ร้านอาหาร สถานบันเทิง ผับ บาร์ คาราโอเกะที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโควิด-19ตั้งแต่วันที่ 16 เม.ย. – 18 มิ.ย.64 ตรวจสถานประกอบการ ร้านอาหาร รวมทั้งหมด 15,603 แห่ง กลุ่มสถานบันเทิง ผับ บาร์ คาราโอเกะ ตรวจไปแล้ว 10,126 แห่ง ขณะเดียวกันได้ตรวจแรงงานต่างด้าวที่เข้ามาทำงานในสถานประกอบการ สถานบริการ และสถานบันเทิงควบคู่ไปพร้อมกัน รวมทั้งจัดชุดตรวจบูรณาการ ประกอบด้วย เจ้าหน้าที่กรุงเทพมหานคร เจ้าหน้าที่ตำรวจ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่ตรวจสถานประกอบการทั้งประเภทที่สั่งปิดและประเภทที่ได้รับการผ่อนคลายภายใต้เงื่อนไขที่ ศบค. กำหนด โดยทำความเข้าใจและขอความร่วมมือผู้ประกอบการและประชาชนผู้ใช้บริการไม่ให้ฝ่าฝืนมาตรการป้องกันโรค พร้อมทั้งแนะนำมาตรการป้องกันโรคให้ผู้ประกอบการและประชาชนถือปฏิบัติ เช่น การปรับตัวในการดำรงชีวิตให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตใหม่ (New Normal) และเคร่งครัดปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคส่วนบุคคล (D-M-H-T-T-A)
นางป่านฤดี มโนมัยพิบูลย์ ผู้อำนวยการสำนักอนามัย กทม. กล่าวว่า สำนักอนามัยได้ประสานความร่วมมือกับสำนัก งานเขต สำนักเทศกิจ ตำรวจ และทหาร ลงพื้นที่ติดตามตรวจสอบกิจการ หรือกิจกรรมที่ได้รับการผ่อนคลายให้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและควบคุมโรคตามที่ทางราชการและ กทม. กำหนดอย่างเคร่งครัด หากพบการฝ่าฝืนมาตรการที่กำหนด มีโทษปรับไม่เกิน 20,000 บาท รวมทั้งรณรงค์ให้ผู้ประกอบการและประชาชนปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 อย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะการสวมหน้ากากอนามัย หรือหน้ากากผ้า อย่างถูกต้องตลอดเวลาเมื่อออกนอกเคหสถาน หรืออยู่ในสถานที่สาธารณะ เพื่อป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 งดการพบปะสังสรรค์กับบุคคลอื่น และหลีกเลี่ยงการเข้าไปในที่แออัด อากาศถ่ายเทไม่ดีเป็นเวลานาน