หลังการเข้ามาควบคุมอำนาจ พร้อมกับขึ้นบริหารประเทศ โดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ภายใต้การนำของ “บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช. เป็นเวลากว่า 5 เดือน ภายใต้การขับเคลื่อนงานตามแผนโรดแม็ป 3 ระยะ
ปัจจุบันนี้ยังอยู่ในช่วงโรดแม็ประยะที่สอง คือระยะการบริหารงานและการสร้างกฎวางกติกาประเทศกันใหม่ แบบที่คสช.ให้คำนิยามเอาไว้ว่า “การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประเทศ” ซึ่ง จากช่วงรอยต่อระหว่างโรดแม็ประยะแรก คือช่วง 3 เดือนตั้งแต่เข้ามายึดอำนาจจากรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เปลี่ยนผ่านเข้าสู่ระยะที่สองได้เกือบจะถึงครึ่งทางแล้ว
เพราะ วันนี้แม่น้ำ 5 สาย ตามคำนิยามของฝ่ายคลังสมองคสช. ถือกำเนิดเดินงานกันจนเห็นเค้าลางโครงสร้างประเทศไทยใหม่ ของคสช.กันเป็นเนื้อเป็นหนังแล้ว ทั้ง คสช. คณะรัฐมนตรี สภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) สภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) และคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ โดยขณะนี้แต่ละฝ่ายก็เร่งเครื่องทำงานกันอย่างเต็มกำลัง
ช่วงเข้ามากุมอำนาจช่วงแรกต้องถือว่า คสช.ได้รับกำลังใจจนล้นปรี่ ทุกกระแสสังคมต่างแห่แหนเอาใจช่วย จนเรตติ้งพุ่งพรวด แต่คล้อยหลังมาไม่กี่เดือน การวัดเรตติ้งของหลายสำนักวิชาการออกมาค่อนข้างตรงกันว่าเริ่มถดถอย
นี่จึงเป็นที่มาของอาการหวาดระแวงของท่านผู้นำ ที่ไม่ยอมผ่อนคลายกฎเหล็ก โดยเฉพาะการบังคับใช้กฎอัยการศึกแบบขมปี๋ แม้แต่ในพื้นที่ท่องเที่ยวเกรดเอหัวใจหลักที่จะดึงเม็ดเงินจำนวนมหาศาลเข้า ประเทศ อย่าง จ.ภูเก็ต กระบี่ พังงา หรือโซนภาคเหนือ ก็ยังถูกตรึงด้วยกฎอัยการศึก และวันนี้พรรคการเมืองและกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมือง ก็เริ่มขยับแข้งขยับขาวิพากษ์วิจารณ์โต้ตอบกันบ้างแล้ว หลังยอมสงบนิ่งมาหลายเดือน
นั่น ก็เพราะเมื่อเริ่มเข้าสู่กระบวนการสร้างวางกฎกติกาประเทศกันใหม่ ก็ต้องพยายามดึงทุกกลุ่มเข้ามามีส่วนร่วม เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับกติกาประเทศคือรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยเฉพาะภาคการเมืองที่มีฐานมวลชนอยู่ทั่วประเทศ ว่า คสช.พยายามเปิดโอกาสเปิดพื้นที่ให้กลุ่มก้อนเหล่านี้แล้ว หากมีการจุดกระแสป่วนขึ้นมาอีกเมื่อไหร่ก็จะได้เอาไว้ใช้เป็นข้ออ้างได้
อย่างที่บอกว่าเมื่อใช้วิธีพิเศษเข้ามาบริหารประเทศ ภายใต้สถานการณ์ที่ยังคลุมเครือ ดังนั้นท่านผู้นำอย่าง“บิ๊กตู่” ย่อม รู้ดีว่าผิวน้ำที่สงบราบเรียบพร้อมจะก่อคลื่นใต้น้ำเป็นเกลียวคลื่นซัด ถล่ม รอแค่เพียงจังหวะและเวลาเท่านั้น ซึ่งก็ไม่แปลกที่จะคงกฎอัยการศึกกดเอาไว้อย่างนี้ และยังออกแนวขู่ใช้ ม.44 ของรับธรรมนูญฉบับชั่วคราวปี 57 ที่ให้อำนาจ”บี๊กตู่” จัดการทุกสิ่งทุกอย่าง หากไม่เป็นตามเป้าที่วางไว้
ที่ผ่านมา คสช.ประเมินสถานการณ์ว่าจะ”เอาอยู่” โดยเฉพาะ สื่อ ว่าจะคุมได้ แต่ เอาเข้าจริงก็ยังคงเป็นเหมือนรัฐบาลทหารในยุคโบราณ ที่มองว่ายุทธศาสตร์การกดทับเอาไว้ โดยพยายามเรียกผู้บริหารสื่อเข้ามาพูดคุยตักเตือนกัน 2-3 รอบ น่าจะทำให้กระชับแรงต้านให้ลดโทนลงไปได้ ซึ่งระยะๆหลังๆ บิ๊กตู่ มักออกตัวแรง ต่อหน้าสื่อจนเห็นชัด
แต่ ธรรมชาติของสื่อมวลชนก็ยังคงเป็นสื่อที่ต้องสะท้อนข้อมูลข้อเท็จจริงอยู่ อย่าลืมว่าถ้าสารพัดนโยบายที่คสช.เข้ามาบริหารจัดการตั้งแต่แรก เอาจริงเอาจัง ติดตามงานใกล้ชิดจนเกิดผลลัพธ์ ก็คงไม่อาจสั่งคลอนภาวะอำนาจของคสช.ได้ แต่อย่าลืมว่าจนถึงวันนี้ ทั้ง การแก้ปัญหาหวยแพง วินรถตู้ รถจักรยานยนต์ แท็กซี่ ข้าวของแพง ค่าครองชีพยังคงถีบตัวสูง ฯลฯ มีอะไรที่สำเร็จจนเห็นเป็นรูปธรรมบ้าง
ดัง นั้นกระแสแห่หนุนอันเป็นผนังทองแดงกำแพงเหล็กมาตั้งแต่ต้น จึงเริ่มจะไม่เป็นเกราะกำบังให้คสช.อีกแล้ว ก็ด้วยสนิมเกิดแต่เนื้อในตน เริ่มตั้งแต่การเปิดบัญชีแสดงทรัพย์สินของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการ ทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ในปมข้าราชการ-ทหาร ที่เข้ามามีอำนาจในปัจจุบันร่ำรวยอู้ฟู่จนคนในสังคมสงสัยว่า เป็นการก่อร่างสร้างตัวกันมาตั้งแต่ต้นตระกูล หรือเพิ่งจะมาร่ำรวยเอากันตอนเข้ารับราชการจนได้เป็นใหญ่เป็นโต ลามมาจนถึงปมปัญหาที่ดินมรดก ส่งผลให้การแสดงบัญชีทรัพย์สินของท่านผู้นำมียอดตัวเลขทะลุไปจนเกือบจะหลัก ร้อยล้านปลายๆ ด้วยความอนุเคราะห์ของบริษัท 69 พร็อพเพอร์ตี้ ซึ่งเป็นลูกในเครือกลุ่มทุนใหญ่ช้าง
แต่ ที่สังคมถึงกับอึ้งก็ตอนที่ภาคเอกชน ออกมาแฉกลางวงเสวนาระดมความเห็นแนวทางการปฏิรูปขจัดคอร์รัปชั่น ว่า สถานการณ์ทุจริตคอร์รัปชั่นในปัจจุบันแม้ไม่ใช่ยุคการบริหารโดยนักการเมือง แล้ว แต่ภาคเอกชนธุรกิจก็ยังต้องจ่ายใต้โต๊ะหนักเหมือนเดิม ซึ่งจุดนี้แหละที่จะกลายเป็นสนิมคอยบั่นทอนความมั่นคงของรัฐบาล เพราะแค่บริหารงานมาแค่ราว 3 เดือน ก็เริ่มมีเสียงร่ำลือหนาหูแล้วว่า กลุ่มทุนใหญ่ที่อยากจะได้งาน หรือต้องการปกป้องขุมทรัพย์ของตนเอาไว้ ต้องวิ่งเข้าหาขาใหญ่ในขั้วอำนาจปัจจุบัน
แน่นอน ว่าทุกคนต้องการให้คสช.ปฏิรูปเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประเทศให้สำเร็จอย่างที่ ขายฝันเอาไว้ เพราะรู้ดีว่าทุกการปฏิวัติรัฐประหาร ประเทศชาติต้องจ่ายต้นทุนมหาศาล และถ้าคราวนี้ยังไม่สำเร็จ การปฏิรูปที่จะเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประเทศ อาจจะต้องแลกมาด้วยเลือดและน้ำตาที่ยังไม่มีใครประเมินได้ว่าจะต้องสูญเสีย กันขนาดไหน
นอกจาก ปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่นแล้ว เรื่องความสามารถในการบริหารก็สำคัญไม่แพ้กัน แต่ผ่านไตรมาสแรกของรัฐบาลชุดนี้แล้ว เสียงวิจารณ์เริ่มอื้ออึงถึงเกาเหลาชามโต เมื่อมีอาการขบเหลี่ยมกันหนักระหว่าง ทีมเศรษฐกิจของ “หม่อมอุ๋ย”ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี “ปู่หมาย”นายสมหมาย ภาษี รมว.คลัง นายณรงค์ชัย อัครเสนีย์ รมว.พลังงาน ซึ่งมี“บิ๊กป้อม”พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและรมว.กลาโหม เป็นแบ็กอัพ กับทีมกุนซือใหญ่“บิ๊กตู่” อย่างนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ที่ถูกวางยาไว้ในรัฐธรรมนูญชั่วคราว จนอดเข้ามาแสดงฝีมือในทีมครม.“บิ๊กตู่”
รอยปริร้าวเริ่มเห็นชัดเจนมากขึ้นก็จากคำสั่งนายกฯแต่งตั้งทีมที่ปรึกษาพิเศษ ขึ้นมาอีกชุด เพื่อยกระดับอำนาจนายสมคิด ให้ขึ้นมาคานกับทีมเศรษฐกิจ ยิ่งยิ่งเพิ่มน้ำหนักกระแสเกาเหลามากขึ้น โดยช่วงรอยต่อปลายปี 2557 จนถึงต้นม.ค.2558 คงได้เห็นการปรับองคาพยพครั้งใหญ่ของรัฐบาลและคสช. เพราะกระแสการปรับครม.เริ่มโชยกลิ่น
ซึ่ง ตรงนี้สถานการณ์จะเป็นตัวเร่ง หากช่วงไตรมาสสุดท้ายคือไตรมาส 4 ของปี 57 เชื่อมต่อช่วงไตรมาสแรกของปี 58 เป้าจีดีพียังดำดิ่งไร้อนาคต ก็คงมีการปรับเกมกันเร็วขึ้น งานนี้จะเป็นการวัดใจว่าสายสัมพันธ์พี่น้องจะยังแน่นแฟ้นอยู่หรือไม่ นอกจาก นี้ยังมีปมร้อนๆ ที่รอคิวจ่อเข้ามาอีกเพียบ ทั้งการถอดถอนอดีตนักการเมืองของขั้วอำนาจเดิม การผลักดันกฎหมายสำคัญอย่าง กฎหมายภาษีมรดก เพื่อลดความเหลื่อมล้ำระหว่างคนจนกับคนรวย การเดินหน้าอภิมหาโปรเจกต์ 3 ล้านล้านเพื่อวางโครงสร้างด้านคมนาคมประเทศ การอัดเม็ดเงินเข้าสู่กลุ่มเกษตรกร ทั้งชาวนา ชาวสวนยาง ชาวไร่อ้อย ไร่มัน ฯลฯ การอัดสวัสดิการแก่กลุ่มข้าราชการ รวมทั้งการเอาใจข้าราชการผู้น้อยด้วยการขึ้นค่าครองชีพในกรณีที่มีเงินเดือนไม่เกิน 12,285 บาท จะได้รับการปรับเงินเพิ่มค่าครองชีพชั่วคราว เพิ่มขึ้นจากเดือนละ 1,500 บาท เป็น 2,000 บาท
สารพัด มาตรารัฐบาล”บิ๊กตู่”หวังว่าเม็ดเงินที่อัดลงไปจะช่วยกระตุ้นการใช้จ่าย ให้เงินมันหมุนเวียน แต่ถ้าการบริหารยังคงเป็นระบบรัฐราชการอยู่แบบนี้ ทั้งปัญหาการเบิกจ่ายงบประมาณล่าช้า การอัดเงินกินเปล่าให้กลุ่มต่างๆ ยังตะกุกตะกัก มีหวังโรดแม็ปของท่านผู้นำมีอันต้องสะดุดแน่นอน
นี่ยังไม่รวมถึงบริบทของฝ่ายการเมืองที่เริ่มเคลื่อนไหว เรียกร้องให้“บิ๊กตู่”ปลดล็อคกฎอัยการศึก โดยอ้างเรื่องการมีส่วนร่วมในการให้ข้อเสนอแนะเรื่องการปฏิรูป โดย เฉพาะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญที่ขอให้กลุ่มการเมือง ตัวแทนพรรคการเมือง เข้ามาแสดงความคิดเห็นประเด็นรัฐธรรมนูญ แต่ถึงอย่างไร “บิ๊กตู่”ก็ไม่ยอมผ่อนปรน แถมยังย้อนถามกลับอีกว่า สถานการณ์ขณะนี้สงบ นิ่ง แล้วหรือไม่ ย้อนถามแบบนี้ทำเอาหลายฝ่าย”ปิดปากเงียบ”
ล่าสุด ..นายกฯก็เจอการลองของจากกลุ่มนักศึกษา ม.ขอนแก่น ในระหว่างการลงพื้นที่ จ.ขอนแก่น กลุ่มนักศึกษาภายใต้ชื่อ “กลุ่มดาวดิน” บุกกลาง วงชู 3 นิ้ว เป็นสัญลักษณ์ที่กลุ่มต่อต้านรัฐประหารเคยใช้ช่วงการยึดอำนาจ เล่นเตะลึงกันทั้งคณะ แต่”บิ๊กตู่”ยังไหวตัวทัน ยังหน้าชื่น ยืนยันมาทำประโยชน์ไม่เป็นศัตรูกับใคร พร้อมประกาศลั่นต้องไปได้ทุกที่ทั่วประเทศ สถานการณ์แบบนี้ยิ่งตอกย้ำ และเข้าทาง”บิ๊กตู่”ให้คงกฏอัยการศึกไว้เป็นเครื่องมือกำราบกลุ่มเคลื่อนไหว ต่างๆ
สถานการณ์ ทั้งนอกและในกำลังรุมเร้า รัฐบาล”พล.อ.ประยุทธิ์” เวลาแห่งความสุขกำลังจะหมดไป ซึ่งปัจจัยภายนอกดูแล้วนายกฯบิ๊กตู่ น่าจะเอาอยู่ เพราะยังมือเครื่องมืออย่างกฏอัยการศึกในการบังคับใช้ แต่ปัจจัยภายในก็กำลังก่อเกิดขึ้นอย่างเงียบๆนั่นน่ากลัวยิ่งกว่า ก็บอกแล้วว่าสนิมแต่เนื้อใน…จะกลายเป็นตัวทลายห้างของคสช.เอง!!