รัฐสภา 22 ม.ค.-ป.ป.ช.แถลงปิดคดีถอดถอนยิ่งลักษณ์ โชว์ใบรายงานปิดบัญชีข้าว ถือเป็นใบเสร็จปิดคดีทุจริตรับจำนำข้าว ยืนยันละเลยทำให้เสียหายกว่า 5 แสนล้านบาท ขณะที่เจ้าตัว ย้ำป.ป.ช.ไม่มีอำนาจส่งเรื่องให้สนช.ถอดถอน วอนตัดสินใจโดยยึดหลักกฎหมาย เพื่อให้การปฏิรูปและปรองดองเกิดขึ้นจริง
การประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เริ่มขึ้นเมื่อเวลา 10.15 น. มีนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสนช.เป็นประธาน ที่ประชุมรับฟังการแถลงปิดสำนวนด้วยวาจาของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการ ทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ผู้กล่าวหา และน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้ถูกกล่าวหา ในกรณีถูกยื่นถอดถอน ฐานปล่อยปละละเลยทำให้เกิดความเสียหายจากโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งน.ส.ยิ่งลักษณ์ได้นำพาวเวอร์พอยท์มาฉายประกอบคำแถลงปิดสำนวน พร้อมขออนุญาตให้อดีตรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องและทีมทนายความรวม 9 คนเข้าร่วมในที่ประชุม
นายวิชา มหาคุณ กรรมการป.ป.ช. กล่าวว่า สนช.ทุกคนมีอำนาจเต็มในการพิจารณาถอดถอนน.ส.ยิ่งลักษณ์ โดยไม่มีข้อโต้แย้ง และป.ป.ช.ได้พิจารณาคดีนี้ด้วยความเป็นธรรม ซึ่งจากการไต่สวนของป.ป.ช.ทุกระดับพบว่าโครงการรับจำนำข้าวนี้มีการเล่นแร่ แปรธาตุ ทำเป็นขบวนการ ยากแก่การตรวจสอบ พบการระบายข้าวของรัฐในราคาถูกให้พวกพ้อง โดยอ้างว่าระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ แล้วนำข้าวดังกล่าวไปทำกำไรมหาศาล
“ป.ป.ช.และสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) ทำหนังสือเตือนการใช้งบประมาณที่ขาดทุนอย่างไม่มีที่สิ้นสุดของโครงการ ขณะที่อนุกรรมการปิดบัญชียังพบความผิดปกติจากการดำเนินโครงการ และมีข้อเสนอแนะว่าโครงการนี้มีความเสี่ยงต่อการคลังของประเทศ ถึงเวลาที่ผู้ถูกกล่าวหาจะต้องระงับยับยั้งความเสียหายดังกล่าวได้ แต่แทนที่จะระงับยับยั้งโครงการนี้ กลับยืนยันที่จะดำเนินโครงการต่อไป ก่อให้เกิดความเสียหายต่อประเทศเพิ่มขึ้น ป.ป.ช.จึงเห็นว่าผู้ถูกกล่าวหาจงใจที่กระทำผิดในฐานะผู้ใช้อำนาจหน้าที่ บัดนี้กรรมการป.ป.ช.มาพร้อมใบเสร็จเรียบร้อย คือใบรายงานปิดบัญชีที่เป็นเอกสารทางราชการ ตั้งแต่ตุลาคม 2554 ถึง 22 พฤษภาคม 2557 รวมเวลา 2 ปีกว่า มีความเสียหายผลการขาดทุน 518,000 ล้านบาท หรือปีละ 200,000 ล้านบาทหรือ 17,000 ล้านบาทต่อเดือน ซึ่งได้เสนอผลการตรวจสอบให้นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นรับทราบทุกครั้ง”นายวิชา กล่าว
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี แถลงปิดคดี โดยหวังว่าสนช.จะใช้ดุลยพินิจโดยไม่จำยอมต่อบุคคลใดบุคคลหนึ่ง และขอเริ่มด้วยการโต้แย้งว่ารายงานและสำนวนของป.ป.ช. รวมทั้งคำแถลงปิดคดีของป.ป.ช.มีข้อสังเกตอันเป็นพิรุธ ว่า รัฐธรรมนูญปี 2550 สิ้นสุดแล้ว มิอาจถอดถอนได้ แม้จะมีกฎหมายป.ป.ช. แต่ไม่ได้ให้อำนาจไว้ หากจะถอดถอนต่อถือว่าไม่เป็นธรรมและไม่เป็นไปตามหลักนิติรัฐ เป็นการถอดถอนซ้ำซ้อน เพราะตนเองไม่เหลือตำแหน่งอะไรให้ถอดถอนแล้ว ตั้งแต่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้สถานะความเป็นนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลง ป.ป.ช.จึงไม่มีอำนาจส่งเรื่องมายังสภา
“การที่ป.ป.ช.อ้างว่าใช้เวลาไต่สวน 1 ปี 10 เดือน ไม่เป็นความจริง แต่ความจริงใช้เวลาแจ้งข้อกล่าวหาเพียง 21 วันเท่านั้น เพราะป.ป.ช.ประชุมเมื่อ 28 มกราคม 2557 คำสั่งนี้ไม่เกี่ยวข้องกับคดีของดิฉัน แต่อีก 2 วันกรรมการป.ป.ช.ได้มีหนังสือถึงดิฉัน 2 เรื่องในคดีอาญาและถอดถอน เท่ากับกระบวนการของดิฉันจึงเริ่มตั้งแต่ 28 มกราคม และ 19 กุมภาพันธ์จึงเรียกดิฉันไปรับทราบข้อกล่าวหา เท่ากับใช้เวลาเพียง 21 วัน หลังจากนั้นจึงชี้มูลในระยะเวลาเพียง 3 เดือน รวมเวลากล่าวหาและชี้มูลเพียง 101 วัน” น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าว
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชี้แจงถึงกรณีที่นายวิชาระบุเรื่องข้าวหายไป 2 ล้านตันในปี 2555 ว่า ไม่เป็นความจริง ถือเป็นการชี้นำต่อสังคม เมื่อนำหลักฐานมาโต้แย้งโดยเป็นคำยืนยันจากองค์ การคลังสินค้า(อคส.) แต่ป.ป.ช.กลับไม่รับเรื่อง รวมทั้งยังนำสำนวนอื่นมารวมกับสำนวนคดีที่กล่าวหาตน ยืนยันว่าตัวเลขปิดบัญชีของอนุกรรมการปิดบัญชี เป็นการคิดค่าเสื่อมและข้าวในสต็อกที่ไม่ตรงกัน อีกทั้งไม่มีครั้งใดในการรายงานของอนุกรรมการปิดบัญชีให้ระงับโครงการนี้
“สำหรับกรณีที่ป.ป.ช.อ้างว่าให้ความเป็นธรรมและไม่ตัดพยานนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยืนยันว่าไม่เป็นความจริง เพราะได้ยื่นพยานไป 18 ราย แต่ถูกตัดเหลือเพียง 6 ราย ซึ่งพยานที่ถูกตัดเป็นพยานปากสำคัญที่จะหักล้างข้อมูลของสถาบันวิจัยเพื่อ การพัฒนาประเทศไทย(ทีดีอาร์ไอ)และป.ป.ช. เพื่อยืนยันว่าโครงการรับจำนำข้าวไม่ได้เป็นสาเหตุทำให้ไทยเสียแชมป์ส่งออก ข้าว ซึ่งการตัดพยานนี้ถือเป็นการปิดกั้นโอกาสของดิฉันในการต่อสู้คดีนี้ แล้วจะยึดถือสำนวนของป.ป.ช.ได้อย่างไร ขณะที่พยานฝ่ายป.ป.ช.เป็นฝ่ายที่เป็นปฏิปักษ์กับดิฉัน อาทิ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ประธานเครือข่ายชาวนาไทยที่เคยขึ้นเวทีกปปส.ขับไล่รัฐบาลของตน” น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าว
น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า โครงการรับจำนำข้าวไม่ก่อให้เกิดความเสียหาย แต่กลับส่งผลดีต่อเศรษฐกิจ โดยสำนักงานเศรษฐกิจการคลังคำนวณว่าโครงการนี้ทำให้มีเงินหมุนเวียนใน เศรษฐกิจของประเทศ 3 แสนกว่าล้านบาท คิดเป็น 2.7 % ของจีดีพี และสามารถดูแลเกษตรกรกว่า 23 % ของประเทศให้กินดีอยู่ดี สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของการริเริ่มโครงการรับจำนำข้าว และที่ว่าโครงการรับจำนำข้าวขาดทุนและเสียหายมากขึ้น แต่ยังดำเนินโครงการต่อ เนื่องจากตัวเลขการปิดบัญชียังคลาดเคลื่อน และไม่ได้คิดราคาที่ใช้ในการคำนวณข้าวในสต็อก
น.ส.ยิ่ง ลักษณ์ กล่าวว่า รัฐบาลของตนเองมีความจริงใจปราบปรามการทุจริต โดยตั้งอนุกรรมการควบคุมและติดตามการดำเนินงานทุกขั้นตอนถึง 12 คณะ ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบสต๊อกข้าว ตั้งคณะกรรมการป้องกันการทุจริตในโครงการรับจำนำ และส่งฟ้องได้ 276 คดี การดำเนินการทั้งหมดของรัฐบาลเป็นไปในรูปแบบมติคณะรัฐมนตรี(ครม.) และภายใต้คณะกรรมการที่จัดตั้งขึ้นมา เหตุใดจึงดำเนินคดีตนโดยลำพัง ถือว่ามีวาระซ่อนเร้น หวังผลทางการเมืองหรือไม่ จึงขอความเป็นธรรมด้วย
“ดิฉันตั้งใจทำงานให้บ้านเมืองจนสุดความสามารถ มีความซื่อสัตย์สุจริต และสิ่งสำคัญดิฉันไม่ต้องการเห็นประเทศชาติมีความขัดแย้งทางการเมือง จนต้องใช้วิธีการทำลายล้างที่ไร้หลักการ และขาดความเป็นธรรมอย่างที่ดิฉันประสบอยู่ จึงพร้อมเสมอที่จะพิสูจน์ตนเองในการทำงาน แต่ดิฉันต้องขอความเป็นธรรม เพื่อให้ทุกคนได้เห็นว่าบ้านเมืองนี้บังคับใช้กฎหมายด้วยความเป็นธรรม ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของความยุติธรรม เพื่อให้การปฏิรูปและการปรองดองเกิดขึ้นได้อย่างแท้จริง” น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าว
จากนั้นประธานได้แจ้งให้ทราบว่าในวันพรุ่งนี้ (23 ม.ค.)จะลงคะแนนโดยวิธีลับในสำนวนนี้หลังจากการนับคะแนนในสำนวนของอดีตประธาน วุฒิสภาและอดีตประธานรัฐสภาที่เริ่มในเวลา 10.00น.
ที่มา-สำนักข่าวไทย