ระยะนี้ ผมต้องรีบข้ามพ้นการเมืองไทยไปถึงยูเครนและฉนวนกาซ่าแล้วละครับ เพราะทั้ง 2 เหตุการณ์นี้มีความเกี่ยวพันกับผู้คนทั้งโลก ไม่หวั่นไหวคงไม่ได้แล้ว
การที่เครื่องบินมาเลย์เซีย แอร์ไลน์ประสบโศกนาฏกรรมเป็นครั้งที่ 2 ห่างจากครั้งแรกเพียง 4 เดือนเศษ ซึ่งลำแรกหายไปในอากาศหรือในทะเลอย่างลึกลับ แต่ลำหลังนี้กลายเป็นประเด็นใหญ่ว่า ใครเป็นฝ่ายยิงขีปนาวุธใส่สายการบินพลเรือน ระหว่างที่รัฐบาลยูเครนซึ่งมีตะวันตกหนุนหลัง กับกลุ่มกบฏแบ่งแยกดินแดนที่รัสเซียสนับสนุน กำลังรบราชิงบ้านชิงเมืองกันอยู่
ตามหลักสากลแล้ว ไม่มีใครจะมาทำร้ายสายการบินโดยสารที่บินผ่านน่านฟ้าที่แม้ว่าจะกำลังทำ สงครามกันอยู่อย่างเด็ดขาด แต่ความพลาดพลั้งก็อาจเกิดขึ้นได้เสมอเหมือนกัน กระทั่งจงใจจะแกล้งให้พลาดพลั้งขึ้นมา หรือใครบางกลุ่มอาจกำลังใช้โศกนาฏกรรมของมนุษยชาติครั้งนี้เป็นเกมการเมือง?
เหตุการณ์ครั้งนี้ รัสเซียถูกสื่อตะวันตกรุมใส่ไคล้กันไม่ยั้ง โดยพยายามยัดเยียด ด้วยสารพัดหลักฐานว่า กลุ่มกบฏที่นิยมรัสเซียเป็นผู้ยิง และยังแสดงเรื่องน่าเกลียดต่อหน้าชาวโลกว่า รีบทำลายหลักฐานจากซากเครื่องบิน แถมยังปลดทรัพย์ผู้โดยสารที่นอนตายเกลื่อนดินแดนในการยึดครองของฝ่ายกบฏอีก ด้วย แต่รัสเซียก็โต้กลับเช่นเดียวกันว่า ยูเครนต่างหากที่ยิงแอร์ไลน์มาเลย์ด้วยเครื่องบินขับไล่
ถ้าฝ่ายรัฐบาลยูเครนทำ ก็จะได้รับการปกป้องว่า เป็นอุบัติเหตุแห่งความผิดพลาด แต่ถ้าฝ่ายกบฏทำ รัสเซียก็จะยิ่งเละ ยิ่งจะถูกโลกบอยคอตมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม และโอกาสของฝ่ายกบฏที่จะได้ชัยชนะก็น้อยลงกว่าเดิมด้วย นอกจากนี้ยังเป็นการตัดโอกาสเส้นทางลำเลียงแก๊สธรรมชาติของรัสเซียผ่าน พื้นที่ซึ่งฝ่ายกบฏพยายามยึดครองก็จะน้อยลงไปด้วย
และนี่คือมุมมองที่น่าคิด เมื่อมาเลย์เซียนแอร์ไลน์ตกและถูกยิงรวมแล้ว 2 ลำ มีคนตายไปกว่า 500 ศพภายในเวลาแค่ 4-5 เดือน ทั้ง2 เหตุการณ์อาจจะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันเลย แต่อาจเกิดจากฝีมือของคนกลุ่มเดียว เพื่อสกัดมาเลย์เซียที่ออกหน้าออกตา ช่วยชาวมุสลิมที่ไม่ได้รับความยุติธรรมจากอิสราเอลและประเทศตะวันตกก็ได้?
สรุปแล้ว ใครควรได้ประโยชน์จากเหตุการณ์นี้กันเล่าถ้าไม่ใช่อำนาจลับ เช่นเดียวกับเหตุการณ์ในฉนวนกาซ่าปัจจุบัน ซึ่งฉนวนเรื่องมูลเหตุของมันเกิดจากเรื่องเล็กๆที่สามารถจะรอการตรวจสอบ แสวงหาความจริง แสวงหาความยุติธรรมกันได้ จากการอุ้มฆ่าวัยรุ่นอิสราเอล 3 คน ขณะที่ฝ่ายอิสราเอลหัวรุนแรงก็แก้แค้นทันควันด้วยการจับวัยรุ่นชาวปาเลสไตน์ ไปฆ่าและเผาตายไป 1 คน
แต่อิสราเอลก็ไม่ทนพอที่จะแสวงหาความยุติธรรม รัฐบาลออกโรงเอง โดยสั่งกองทัพถล่มเมืองของปาเลสไตน์ในฉนวนกาซ่าทันที ด้วยอาวุธยุทธภัณฑ์เท็คโนโลยี่ทันสมัย เป็นการทำสงครามเต็มรูปแบบโดยมุ่งโจมตีแลกชีวิตผู้บริสุทธิ์อื่นๆจนถึงวัน ที่เขียนต้นฉบับนี้ปาเข้าไปเกือบ 2,000 ศพแล้วและบาดเจ็บมากมายหลายพันคน ขาดแคลนที่อยู่ ยารักษาโรคอีกไม่รู้เท่าไรในฉนวนกาซ่าขณะนี้
น่าประหลาดหรือจงใจกันแน่ที่เดือนกรกฎาคมทั้งเดือน เป็นช่วงถือศีลอด รามาฎอนของมุสลิมทั่วโลก พวกเขาอดอาหารในช่วงเวลากลางวัน เพื่อให้รู้รสชาติของความอดอยาก และไปกินอาหารอีกทีในช่วงหลัง6 โมงเย็น แทบจะพูดได้ว่า เป็นช่วงเดียวของการถือศีลอดที่ผู้ใหญ่ชายหญิงจะหมดเรี่ยวแรงที่จะทำภารกิจ การงานอย่างแท้จริง และการก่อสงครามก็เริ่มขึ้นครั้งแรกในวันที่ 1 กรกฎาคม เครื่องบินยิวออกถล่มในกาซ่าถึง 34 แห่งโดยพร้อมเพรียงกัน และถล่มอย่างหนักต่อจนถึงปลายเดือน
บางคนบอกว่า กองทัพอิสราเอลก็ยังคงแสดงความยิ่งใหญ่ เต็มไปด้วยประสิทธิภาพ เหมือนกับที่ได้รับคำชื่นชมมากมายทั่วทั้งโลกเมื่อครั้งที่โมเช่ ดายันทำสงครามได้รับชัยชนะเหนือกลุ่มประเทศอาหรับนับสิบประเทศเพียงแค่ 6 วันเท่านั้นเอง
แต่ครั้งนี้ กองทัพอิสราเอลใช้ขีปนาวุธโจมตีพลเรือนกลางเมืองใหญ่ ทำให้ผู้หญิง เด็ก คนแก่ที่ไม่มีทางช่วยตัวเองได้ล้มตายกันมากมาย แม้กระทั่งเด็กในวัย 10-13 ขวบที่วิ่งเล่นอยู่บนชายทะเลก็ถูกปืนใหญ่จากเรือรบตายไปหลายคน
ล่าสุดยังถล่มใส่โรงพยาบาลกลางเมืองของชาวปาเลสไตน์ที่มีแต่คนป่วย ผู้หญิงและเด็กตายไปท่ามกลางซากโรงพยาบาลอีกด้วย
สิ่งที่อิสราเอลจัดการเพิ่มจำนวนศพผู้คนที่ไม่มีทางต่อสู้ เพื่อแลกกับการลักพาตัววัยรุ่นอิสราเอล 3 คน โดยไม่สนใจจะสอบสวนหาที่มาที่ไป ก็ต้องถือว่า เป็นการสร้างโศกนาฏกรรมแก่มนุษยชาติ เพราะคนเหล่านี้แทบจะมีแต่มือเปล่า
นักข่าวอิสระคนหนึ่งชื่อ ไมเคิล ยอร์นที่สนิทสนมกับอดีตนายกฯอภิสิทธิ์ถึงกับใส่สีตีไข่เปรียบเทียบเข้าไปว่า พวกปาเลสไตน์ที่โดนกองทัพอิสราเอลไล่บี้อยู่ขณะนี้ก็เหมือนพวกเสื้อแดงที่ ตายเป็นเบือกลางถนนเมืองกรุงเมื่อปี 2553 นั่นแหละ
เขาโพสต์ในเฟชบุ๊คตอนหนึ่งว่า พวกเสื้อแดงก็เหมือนพวกปาเลสไตน์ปัจจุบันที่นิยมความรุนแรง แต่ชอบป่าวประกาศโอดครวญว่า ตัวเองถูกรังแก นี่ก็ถือว่าเป็นเรื่องน่าประหลาดและออกจะน่ารังเกียจที่นักข่าวบางคนมีความ รู้สึกถึงความตายของคนมือเปล่าที่ออกมาเรียกร้องความเป็นธรรมเช่นนี้ สิ่งที่กองทัพอิสราเอลทำกับชาวปาเลสไตน์ มันชัดเจนไปทั้งโลก เช่นเดียวกับเหตุการณ์ในปี 2553
ถ้าใครย้อนไปดูการก่อตั้งประเทศอิสราเอลหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อปี 1948 แล้วก็จะไม่แปลกใจว่า แผนการของชาวยิวนั้นลุ่มลึกร้ายกาจเพียงใด พวกเขาเริ่มจากการวางแผนด้วยเงินกู้ขององค์กรยิวสากลก่อสงครามโลกครั้งที่ 1 ขึ้น และทำให้เยอรมันพ่ายแพ้สงครามครั้งนั้น ถูกเหยียบย่ำซ้ำเติมสารพัด ผู้คนตกงาน อดอยาก ยากแค้นหลายต่อหลายล้านคน และเพื่อจะนำไปสู่สงครามโลกครั้งที่2
สุดท้ายสนธิสัญญาแวร์ซายส์ที่ร่างโดยกลุ่มนายธนาคารยิวซึ่งเอารัดเอาเปรียบ เยอรมันสารพัด ก็สร้างความเจ็บช้ำน้ำใจ เคียดแค้น ชิงชังชนิดฝังรากลึก จนเมื่ออดอล์ฟ ฮิตเลอร์นำเยอรมันลุกขึ้นมา ประเทศก็พลิกโฉม เศรษฐกิจดีขึ้นภายในเวลา 2-3ปี แต่ยิวมองเห็นถึงหายนะข้างหน้า การรุมกินโต๊ะจากหลายประเทศจึงเกิดขึ้นและเป็นที่มาของการก่อตั้งรัฐ อิสราเอลหลังการกำจัดอดอล์ฟ ฮิตเลอร์
จะเห็นได้ว่า สงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 ล้วนเป็นฝีมือของขบวนการยิวสากลทั้งนั้น และนี่อาจจะเป็นอีกครั้งหนึ่งที่นายกฯอิสราเอลเนทันยาฮูวางแผนไว้ ก็คือ กวาดล้างชาวปาเลสไตน์ให้หมด ไม่ให้เหลืออยู่ในกาซ่า ซึ่งเขารู้ดีว่า เป็นไปไม่ได้ แต่มันอาจจะเป็นแผนการที่จะสร้างสงครามความเคียดแค้นขึ้นมาอีกครั้งใน ตะวันออกกลาง เพื่อมิให้ประเทศมุสลิมรวมตัวกันติด
ใครจะไปนึกว่า เข็มทิศสงครามกำลังจ่อไปที่คอหอยของอิหร่าน ซึ่งพวกตะวันตกถือเป็นหัวโจกใหญ่ของมุสลิมในตะวันออกกลาง และไม่ว่าจะเป็นสุหนี่หรือชีอะห์ ก็มีสิทธิที่จะถูกสกัดด้วยสงครามจากอิสราเอลด้วยกันทั้งนั้น และยิวจะต้องเป็นใหญ่ในโลกดังที่พวกขบวนการไซออนนิสต์มุ่งมั่นไว้
บางคนจึงอ้างคำพูดของฮิตเลอร์ที่ว่า “เราสังหารยิวไม่หมด เพราะจะเหลือเอาไว้ให้โลกรู้ว่า ยิวเลวยังไง” ทำให้ใครต่อใครนึกถึงประเทศอิสราเอลขึ้นมาทันที.