รัฐธรรมนูญ ฉบับชั่วคราว พ.ศ.2557 ได้ถูกเขียนขึ้นอย่างรวบรัดภายใต้เป้าหมายของการเป็นเครื่องมือกลไกสำคัญใน การนำประเทศเดินผ่านเส้นทางสายปฏิรูปแล้วก้าวไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยโดย สมบูรณ์
แต่ความคาดหวังแบบนี้จะเป็นไปได้จริงๆ หรือ?
มาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญดังกล่าว บัญญัติให้อำนาจพิเศษอย่างกว้างขวางให้กับ คสช. ด้วยข้ออ้างเรื่องความมั่นคงและความสงบเรียบร้อย หลายคนเทียบเคียงอำนาจตามมาตรานี้ว่าคล้ายๆ กับมาตรา 17 แห่งธรรมนูญการปกครองสมัยจอมพลสฤษดิ์
แต่หากพิจารณาในรายละเอียดแล้ว มาตรา 44 ในรัฐธรรมนูญของคสช. มันไปไกลกว่ามาตรา 17 ของสมัยสฤษดิ์เยอะครับ กล่าวคือ มาตรา 17 ในสมัยสฤษดิ์ให้อำนาจพิเศษสั่งการตัดสินใจอย่างเด็ดขาดเฉพาะในด้านการบริหาร หรือก็คือในเชิงนโยบายและการดำเนินงานของรัฐบาล-คณะรัฐมนตรีเท่านั้น
ส่วนมาตรา 44 ในรัฐธรรมนูญของคสช. ให้อำนาจพิเศษแก่ คสช. ในทุกด้าน ทั้งในทางนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ ซึ่งในเชิงหลักการแล้ว นี่เท่ากับเป็นการยุบเลิกหลักการแบ่งแยกอำนาจออกเป็น 3 ฝ่าย เพื่อวางกลไกตรวจสอบและถ่วงดุลการใช้อำนาจของแต่ละฝ่ายหรือ ‘check & balance’.. สลายรวมทั้งหมดอยู่ในอุ้งตีนตนเองเพียงฝ่ายเดียว
หัวหน้า ผู้ก่อการรัฐประหารล้มประชาธิปไตยอาจกล่าวว่า “ใจเย็นๆน้อง พี่ก็แค่เขียนคลุมๆ เผื่อๆ เอาไว้ เท่ห์ๆ เก๋ๆ ไม่ได้คิดจะลุแก่อำนาจ ใช้มาตรานี้สุรุ่ยสุร่ายเสียที่ไหน” โอเค ผมเชื่อก็ได้ครับ เพราะเป็นที่น่าเชื่อถืออยู่แล้วว่าท่านเป็นคนรักษาสัจจะ คราวก่อนบอกว่าไม่รัฐประหาร ไม่กี่เดือนผ่านก็ลงมือทำจริงๆ
ครับ ประชาชนเบี้ยน้อยหอยน้อยอย่างเราๆ ก็คงทำได้แค่ไว้ใจ และศรัทธา ไปเรื่อยๆ และเรื่อยๆ อ่ะนะ ช่างมันเถอะ
แต่ ไอ้ที่น่าเป็นห่วงมากกว่าลมปากหมู ลมปากหมา ก็คือ แน่ใจนะว่า ภายใต้อำนาจพิเศษของมาตรานี้ มันจะพาประเทศไปสู่การปฏิรูปแล้วเป็นประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์ได้จริงๆ ?
หากเราดูมาตราอื่นประกอบ เนื้อหาสาระหลักของรัฐธรรมนูญของ คสช. ก็คือ การวางกลไกสำหรับออกแบบและก่อรูปโครงสร้างประเทศในอนาคต ทั้งในส่วนของสภาปฏิรูปแห่งชาติที่ครอบคลุมวาระทุกๆ ด้าน และในส่วนของคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ
ถามทีเถอะ .. เอาจริงดิว่าจะขับเคลื่อนเรื่องพวกนี้ไปภายใต้บรรยากาศของมาตรา 44 !?!
ใน ขณะที่การปฏิรูปในเรื่องต่างๆ จำต้องอาศัยการถกเถียงพูดคุยสนทนาระหว่างความคิดที่แตกต่างหลากหลาย แต่ในเมื่อบางความคิด บางความปรารถนามันถูกสะกดกั้นมิให้เปิดเผยออกมาได้ แน่ใจนะว่าผลสรุปการปฏิรูปมันจะพาประเทศไปสู่การเป็นประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์ อันมีความหมายว่า อำนาจเป็นของประชาชนทุกๆ คน ไม่ใช่ประชาชนบางคน บางกลุ่มที่มีความคิด และความปรารถนาสอดคล้องกับอุดมการณ์ของทหาร?
ยก ตัวอย่างเช่น ถ้าผมเสนอให้มีการปฏิรูปกองทัพให้มีความเป็นมืออาชีพ เลิกเสือกเรื่องการเมือง อย่างงี้ได้เปล่า? ก็ไม่ได้ใช่มะ? ดีไม่ดี ใครอ่านมาถึงบรรทัดนี้ ก็หยุดคอมเม้นต์ด่าผมในเฟซบุ๊คละ
ไอ้ แบบนี้ มันจะเรียกว่า ปฏิรูปไปสู่ประชาธิปไตยได้ไงล่ะจริงไหมครับ จุดหมายที่เห็นๆ กันอยู่ภายใต้เส้นทางปฏิรูปแบบนี้ บรรยากาศแบบนี้ ลงเอยไม่พ้นสังคมฟาสซิสต์ คลั่งชาติ แน่นอน เพราะเวทีประชาคมที่สภาปฏิรูปอาจจะ จัด ให้มีในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ ก็จะเป็นเพียงเวทีสร้างความชอบธรรมให้กับแนวทางปรับโครงสร้างประเทศที่ คสช. วางกรอบไว้ล่วงหน้าแล้วเท่านั้น
อย่า หาว่าผมบิดเบือนข้อเท็จจริงเลยนะฮะ มันมองอนาคตเล็งเห็นผลได้ง่ายๆ อยู่แล้ว ก็ในเมื่อมีแค่บางเรื่องที่พูดได้ และอีกหลายเรื่องพูดไม่ได้ ไอ้เรื่องที่พูดได้ก็คือเรื่องที่ท่านอยากฟัง อยากทำ เห็นด้วย ส่วนไอ้เรื่องที่ท่านไม่อยากฟัง ไม่อยากทำ ไม่เห็นด้วย ก็ไม่ยอมให้ปรากฏขึ้นมา กรอบโครงร่างคร่าวๆ ของเอกสารผลลัพธ์ก็เดาได้ไม่ยากไง
ท่าน ข่มขืนกระทำชำเราเอาอำนาจของประชาชนไปแล้ว ยังบังคับขืนใจให้มานั่งแดกข้าวโต๊ะเดียวกัน โดยกินได้แต่อาหารที่ท่านอนุญาตให้กิน พร้อมกับเรียกว่านี่คือการมอบความสุขให้ ซึ่งถ้าเราไม่สุขด้วยก็โดนกักขังหน่วงเนี่ยวเนี่ยนะ เส้นทางสู่ความปรองดอง?
จากที่กล่าวมาทั้งหมด ดังนั้น มาตรา 3 ในรัฐธรรมนูญของคสช. ในส่วนที่ว่า อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย จึงเหลวไหล ตอแหลทั้งเพ เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นจริง เราต้องเป็นคนสั่งท่าน ไม่ใช่ท่านสั่งเราสิ
แต่ ถ้าท่านไม่คิดแบบนี้ จะมาเสียเวลาใส่ประโยคนี้เข้าไปในมาตรา 3 ทำไม หรืออยากกักขังประชาชนเอาไว้เป็นตัวประกัน คิดจะล่วงละเมิดสิทธิอำนาจประชาชนเพื่อสนองตัณหาความสุขตนเองไปตลอด แบบนี้ก็ไม่ต่างกับแมงดาหรอกนะฮะ เพราะเงินในกระเป๋าสตางค์ของเรา ท่านก็เอาไปใช้ตามอำเภอใจ สามีที่ถูกกฎหมายหรือก็มิใช่ แค่นักเลงหัวไม้ที่ผ่านมาข่มขืนยัดเยียดความเป็นผัวให้และสัญญาปากเปล่าว่า จะทำให้เรามีความสุขก็เท่านั้น ถามหน่อยว่า วันนี้เอาเงินของเราไปแอบซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์เท่าไหร่แล้วครับ? เอาเงินเราไปซื้อเครื่องบินทำไมไม่เห็นบอกกันบ้างเลย? นี่รักกันจริงหรือแค่หลอกฟัน และเกาะแดก?
ถ้าคิดแค่อย่างหลัง แนะนำว่าไปนั่งสำเร็จความใคร่ทางอำนาจที่บ้านเองเถอะ ที่เป็นอยู่นี้มันชั่วและคาวมากพอแล้ว
ผู้อำนวยการโครงการวิทยาลัยการเมือง สาขาวิชารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช