‘ทนายนกเขา-จตุพร’ นำคนไทยประท้วงหน้าสถานทูตสหรัฐ โวย ‘ไบเดน’ เลิกแทรกแซงใช้ไทยเป็นเครื่องมือต่อต้านจีนผ่าน ‘ยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก’ จี้ประยุทธ์ถอนลงนามในสัญญาความร่วมมือกับสหรัฐฯ
วันที่ 12 พ.ค. 2565 เวลา 10.00 น. เครือข่ายภาคประชาชน ในนาม ‘กลุ่มรวมประชาชน’ นำโดย ‘ทนายนกเขา-นายนิติธร ล้ำเหลือ’ แกนนำกลุ่มประชาชนคนไทย (ปท.) และ ‘ตู่-นายจตุพร พรหมพันธุ์” ประธาน แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ได้เดินทางไปประท้วงหน้าที่สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกา ถนนวิทยุ พร้อมยื่นหนังสือถึง โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เรียกร้องให้ยกเลิกแถลงการณ์ร่วมไทย-สหรัฐฯ และพันธกรณีจากแผน “ยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก” ของสหรัฐฯ ซึ่งทำให้ไทยตกเป็นเครื่องมือของสหรัฐฯในการต่อต้านประเทศจีน
ไทยมีเอกราชและอิสระ
นายนิติธร กล่าวว่า วันนี้ที่คนไทยต้องออกมา เป็นเพราะประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ทั้งคนปัจจุบันและในอดีตได้สร้างปัญหาให้กับประเทศไทยมาโดยตลอด
“ผมอยากบอกประชาชนอเมริกาว่า ไทยนั้นมีเอกราชและอิสระ ทุกคนคงทราบ แต่สำหรับประธานาธิบดีสหรัฐ ผมไม่มั่นใจ ไม่เคยเชื่อว่าอเมริกามีเอกราชอย่างแท้จริง ถ้ามีจริงๆ คงไม่ได้ตกอยู่ภายใต้กลุ่มที่เรียกว่า ไซออนิสต์ และเครือข่าย Deep State หากอเมริกาจะเข้าใจคำว่า ‘เอกราช’ จะไม่เข้าไปทำลายเอกราชของประเทศใด ไม่เข้ามาทำลายในประเทศไทย” นายนิติธรกล่าว
นายนิติธร กล่าวปราศรัยผ่านเครื่องขยายเสียงโจมตีเรื่องที่สหรัฐฯ มักกล่าวอ้างเรื่อง สิทธิเสรีภาพและสิทธิมนุษยชนว่าเป็นเพียงวาทกรรม
“สิ่งเหล่านี้ที่สหรัฐฯ นำเสนอเป็นเพียงเครืองมือและเป็นวาทกรรม เพื่อที่จะเข้ายึดครองและทำลายประเทศอื่นๆ“ นายนิติธรกล่าว
“ท่านปธน.ไบเดนครับ ท่านอาจจะเก่งเรื่องจิตวิทยา แต่คนไทยและประชาชนทั่วโลกเขาเก่งเรื่องจิตสำนึก ประเทศไทยก็ชัดเจนเรื่องนี้ จิตสำนึกคือเห็นเพื่อนมนุษย์ทุกคนมีศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์และเป็นคนเท่าๆ กัน และก็ปฏิบัติเช่นนั่น” ซึ่งแตกต่างกับนิยามของสหรัฐฯ เพราะ “ศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ของท่าน อเมริกาต้องใหญ่ และฆ่าได้ทุกประเทศ ฆ่าได้ทุกคน เพื่อยึดครองทรัพยากรต่างๆ”
นายนิติธรกล่าวต่อว่า วันนี้ประชาชนคนไทยและทั่วโลกได้ลุกขึ้นและพร้อมที่จะสู้กับอำนาจที่กดขี่ พร้อมทั้งเตือนว่า “อย่าได้ยุ่งกับเอกราชแและอิสระของประเทศไทย”
นายนิติธรระบุว่า ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหรัฐฯ นั้นยังคงดำเนินอย่างปกติต่อไป แต่สหรัฐต้องเคารพในความมีเอกราชและอิสระของไทย “ถ้าคุณเคารพเราไม่ได้ คุณก็อยู่กับเราไม่ได้”
“อเมริกาต้องเรียนรู้ ประธานาธิบดีต้องเรียนรู้ และต้องปรับปรุงตัว ปรับปรุงแนวคิดที่จะอยู่กับมิตรประเทศอย่างเท่าเทียมกัน อยู่อย่างเคารพและให้เกียรติกัน ไม่ใช่อยู่เป็นหัวหน้า เป็นผู้สั่งการ เป็นเจ้าโลก แล้วใช้ประเทศต่างๆ เป็นเครื่องมือ” นายนิติธรกล่าว
แยงกี้ โกโฮม! …ระวังถูกขับไล่อีก
ด้านนายจตุพรกล่าวว่า ที่ผ่านมาร่วมศตวรรษนั้นประเทศไทยทำตามอเมริกาทุกอย่าง ยินยอมให้ใช้ผืนแผ่นดินนี้เป็นฐานที่มั่นในการจัดการกำลังทหารไปโจมตีประเทศเพื่อนบ้านตายนับล้านๆ ชีวิต แต่มหาอำนาจที่ประกาศตนเป็นมหามิตรอย่างสหรัฐอเมริกานั้นไม่ได้เคยสำนึกถึงแผ่นดินนี้
“บทเรียนปี พ.ศ.2518 ที่คนหนุ่มสาวร่วมกับพลตรี ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้ขับไล่ฐานทัพสหรัฐฯ กำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้งในประเทศไทย” นายจตุพรย้ำและว่า “สหรัฐฯ ได้เอาเปรียบแผ่นดินนี้มากมาย ปฏิบัติเหมือนกับประเทศนี้เป็นเมืองขึ้นของสหรัฐฯ”
นายจตุพรกล่าวถึง กรณีอนุสัญญาอินโด-แปซิฟิค ว่าเป็นเรื่องที่คนไทยจะต้องรู้ เป็นสิทธิของพลเมืองไทยจะต้องรู้ว่าการที่นายกรัฐมนตรีของประเทศไทยไปลงนามร่วมกับรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมของสหรัฐในการต่อต้านเป็นปฏิปักษ์กับประเทศจีนนั้น เป็นเรื่องที่พวกเรามิอาจที่จะรับได้ เช่นเดียวกันถ้าวันหนึ่งประเทศไทย นายกรัฐมนตรีไปลงนามกับประเทศจีนเพื่อเป็นปฏิปักษ์กับสหรัฐฯ เราก็จะไม่ยินยอมเช่นเดียวกัน
“พวกเรามาที่นี่ไม่ใช่พวกมหาอำนาจประเทศใดประเทศหนึ่ง แต่เราเป็นคนไทยมีความรักชาติบ้านเมือง และเห็นว่าการร่วมมือระหว่างนายกรัฐมนตรีของไทยกับทางการของสหรัฐฯ นั้นเป็นการชักน้ำเข้าลึก ชักศึกเข้าไทย อย่างที่เราไม่สามารถป้องกันตัวเองได้”
นายจตุพรตั้งข้อสังเกตถึงกรณีการก่อสร้างกงสุลสหรัฐฯที่เชียงใหม่ว่า “มีกงสุลที่ไหนบ้างสร้างด้วยมูลค่านับหมื่นล้าน ผมจะพูดชัดเจนว่าถ้าสหรัฐต้องการก่อสงครามกับจีน ก็ต้องใช้แผ่นดินอเมริกากับแผ่นดินจีน ต้องการจะก่อสงครามกับรัสเซียก็ต้องเป็นแผ่นดินรัสเซียกับอเมริกา แต่ไม่ใช่ไปก่อสงครามกับจีนในแผ่นดินของประเทศไทย”
“เพราะฉะนั้นพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา คุณฟังผมน่ะ ความจริงวันนี้คุณต้องเดินไปบอกกับทางการสหรัฐว่าที่ลงนามเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2562 นั้น บัดนี้คนไทยมิอาจที่จะยอมรับได้ ขอถอนการลงนามดังกล่าวให้เป็นโมฆะเสีย ถ้าไม่ยกเลิกประเทศไทยอาจจะต้องเจอกับสงครามเหมือนที่ยูเครนกำลังเจออยู่ขณะนี้”
นายจุตพรกล่าวต่อว่า เรื่องนี้ฝ่ายความมั่นคงของไทยและทางการอเมริกาปิดข่าวแทบจะเกือบร้อยเปอร์เซนต์ แต่วันนี้ฝ่ามือไม่อาจปิดแผ่นฟ้าและหายนะที่จะเกิดขึ้นกับประเทศนี้ได้
“การมาที่สถานทูตสหรัฐฯ วันนี้ เราไม่ได้มาประกาศศึกกับอเมริกา แต่ต้องบอกกับอเมริกาว่าพอได้แล้ว อดีตเคยใช้แผ่นดินนี้ไปฆ่าประเทศเพื่อนบ้าน วันนี้ก็กำลังใช้แผ่นดินนี้เหมือนยุคสงครามเย็น”
“วันนี้ถ้าสหรัฐถือประเทศไทยเป็นมหามิตร คนที่เป็นมิตรจะต้องไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับมิตร แต่สิ่งที่คุณทำมันไม่ใช่เหมือนมิตร แต่เป็นการเอารัดเอาเปรียบประเทศที่เล็กกว่า บีบบังคับให้เขาไม่มีทางเลือก พล.อ.ประยุทธ์อาจไม่มีทางเลือกกับคุณ แต่ประชาชนคนไทยจะมีทางเลือกกับคุณ ถ้าคุณไม่หยุดลากสงครามเข้ามาประเทศนี้ คุณจะเจอกับคนไทยทั้งแผ่นดินหนักกว่าปี พ.ศ. 2018 ที่เคยขับไล่ฐานทัพ”
“ถ้าคุณหยุดในวันนี้ เราต่างคนต่างอยู่ ต่างเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม แต่ถ้าคุณไม่หยุดคนไทยจะหยุดคุณเอง” นายจตุพรกล่าว
แถลงการณ์
หลังจากปราศรัยเสร็จสิ้นได้มีมีการร่วมอ่านแถลงการณ์หน้าสถานทูตสหรัฐ ความว่า
กลุ่มรวมประชาชนคนไทย (ปท.)
12 พฤษภาคม 2565
เรื่องยกเลิกแถลงการณ์วิสัยทัศน์ร่วม Joint Vision Statement 2020 ระหว่างไทย-สหรัฐอเมริกา ค.ศ.2020 และพันธกรณีจากแผนยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก และองค์กรนาโต 2
เรียนคณะท่าน นายโจเซฟ อาร์. ไบเดน จูเนียร์ ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา, สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำราชอาณาจักรไทย ช่วงระหว่างวันที่ 12-13 พฤษภาคม 2565 สหรัฐอเมริกาเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดสหรัฐและผู้นำอาเซียน สมัยพิเศษ ASEAN-U.S. Special Summit ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของไทย ได้ร่วมเดินทางประชุมด้วยตัวเองตามคำเชิญของคณะท่านนั้น แน่นอนว่า หากเป็นสถานการณ์ปกติ ย่อมเป็นโอกาสที่ดีที่ผู้นำไทยจะได้สานสัมพันธ์แสวงหาความร่วมมือกันกับผู้นำระดับโลก หลังจากที่ทุกชาติต้องกักตัวเองในช่วงวิกฤตโควิด-19 มาตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลานี้สถานการณ์สู้รบรัสเซีย-ยูเครน คุกรุ่น และมีทีท่าจะทวีความรุนแรงขึ้น โดยที่สหรัฐประกาศสนับสนุนยูเครนอย่างชัดเจน ตลอดจนความพยายามของสหรัฐ ที่จะสกัดกั้นการแผ่ขยายอิทธิพลในภูมิภาคอาเซียนของจีน ซึ่งเป็นพันธมิตรสัมพันธ์ของรัสเซียมาโดยตลอด ทำให้ประชาชนไทยเห็นว่าการประชุมครั้งนี้อาจมีวาระซ่อนเร้น ที่หาได้ใช้ความสำคัญกับความร่วมมือในรอบ 45 ปี ของสหรัฐ-อาเซียน ตามที่กล่าวอ้างแต่อย่างใด
สืบเนื่องจากเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ทำเนียบประธานาธิบดี white house มีการรายงานยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิกของสหรัฐ Indo-pacific strategies of united states จัดทำโดยกระทรวงกลาโหม กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา ระบุถึงประเทศไทยว่า เป็นยุทธศาสตร์สำคัญของภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก ในฐานะพันธมิตรของสหรัฐอเมริกา ซึ่งอยู่ ณ จุดกลางของอาเซียน รายงานฉบับดังกล่าวยังระบุว่า ภูมิภาคเอเชียจะมีความมั่นคง หมายถึงจีนต้องไม่มีบทบาท และสหรัฐอเมริกาต้องเป็นผู้นำแห่งเอเชียแปซิฟิก สหรัฐจึงเกิดความมั่นคง รวมทั้งยังระบุว่า ไทยคือหนึ่งใน 5 ประเทศพันธมิตรใกล้ชิดของสหรัฐ ด้วยสนธิสัญญาที่แข็งกร้าว ประกอบด้วย ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ฟิลิปปินส์ และไทย รวมทั้งก่อนหน้านั้น เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2562 พล.อ.ประยุทธ์ นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของไทย ยังร่วมลงนามกับ นายมาร์ค เอสเปอร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐ ในแถลงการณ์วิสัยทัศน์ Joint Vision Statement ระหว่างไทย-สหรัฐ ค.ศ.2020 ว่าด้วยการยกระดับความเป็นพันธมิตรและเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ ด้านการป้องกันประเทศเพื่อร่วมต่อต้านศัตรู จนกระทั่งทำเนียบขาวนำชื่อประเทศไทยไปใส่ไว้ในรายการ ยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก อย่างเป็นทางการ เป็นประเทศใกล้ชิดที่มีสนธิสัญญาผูกพันกัน
ด้วยเหตุดังกล่าวข้างต้น กลุ่มรวมประชาชนคนไทยจึงมีข้อกังวลว่าจะเกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนจากนานามิตรประเทศว่า ประเทศไทยไม่รักษาดุลยภาพความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ หากเกิดความขัดแย้งด้วยกำลังอาวุธภายในภูมิภาคนี้ จึงขอเรียกร้องไปยังรัฐบาลและประชาชนของสหรัฐอเมริกา ดังนี้
1.ยกเลิกแถลงการณ์วิสัยทัศน์ร่วม ระหว่างไทยอเมริกา พ.ศ.2520 ว่าด้วยการยกระดับความสัมพันธ์และความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ด้านการป้องกันประเทศ ผู้ร่วมต่อต้านศัตรู เนื่องจากผู้แทนรัฐบาลไทยไปลงนามโดยไม่ผ่านความเห็นชอบของรัฐสภา และประชาชนไม่ทราบในรายละเอียดและข้อเท็จจริง จนสร้างผลกระทบต่อความสัมพันธ์อันดีกับภูมิประเทศอื่นของไทย
2.ยกเลิกพันธกรณีที่มีผลสืบเนื่องมาจาก ยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิกของสหรัฐอเมริกา และพันธกรณีที่มีผลสืบเนื่องไปสู่การจัดตั้งองค์กรนาโต 2 ในอาเซียน
3.ขอให้สหรัฐอเมริกายุติการอ้างสนธิสัญญา ข้อตกลง แถลงการณ์ร่วม เพื่อนำไปสู่บทสรุปแต่เพียงฝ่ายเดียวว่า ประเทศไทยจะเป็นพันธมิตรร่วมรบ เลือกข้างอยู่กับสหรัฐในการต่อต้านศัตรู ย่อมไม่ถือเป็นมารยาททางการทูตที่ดีต่อมิตรประเทศ เนื่องจากเป็นเป้าหมายยุทธศาสตร์ของสหรัฐเพียงฝ่ายเดียว รวมทั้งจะก่อปัญหาให้กับประเทศไทย ดังนั้น สหรัฐจึงไม่ควรกระทำการดังกล่าวซ้ำอีก
4.หากสหรัฐจะอาศัยข้ออ้างในการประชุมสุดยอดสหรัฐและผู้นำอาเซียน สมัยพิเศษ เพื่อดำเนินการใดๆ ร่วมกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จนก่อให้เกิดข้อสงสัยในความสัมพันธ์อันดีของไทยกับมิตรประเทศอื่น เสมือนเป็นการเลือกข้างนั้น ย่อมถือเป็นการกระทำโดยไม่ได้รับฉันทามติจากประชาชนชาวไทย และประชาชนชาวไทยจะร่วมคัดค้านอย่างถึงที่สุด
ประชาชนคนไทย จึงเรียนมาเพื่อขอยืนยันว่า ประชาชนคนไทยยังคงเป็นมิตรภาพกับสหรัฐอเมริกา อันถือเป็นความสัมพันธ์ต่อเนื่องมายาวนานกว่า 200 ปี บนพื้นฐานความร่วมมือในหลากหลายมิติ ที่ต้องเคารพ ยอมรับความมีอธิปไตย ให้เกียรติซึ่งกันและกันอย่างเท่าเทียม และประเทศไทยยึดมั่นในนโยบายต่างประเทศที่เป็นอิสระ ขอเป็นมิตรกับทุกประเทศ ยึดมั่นในเส้นทางพัฒนาอย่างสันติ ยืนหยัดต่อความถูกต้อง ความก้าวหน้า ความยั่งยืน และมวลมนุษยชาติ
ขอแสดงความนับถือ
นายนิติธร ล้ำเหลือ และนายจตุพร พรหมพันธุ์