ปฏิบัติการถอนรากถอนโคนฝ่ายเพื่อไทยและเสื้อแดง

การชี้ชะตาอดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ผ่านมานี้นับว่ามีความน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะถ้าดูภาพรวมของการเคลื่อนหมากทั้งกระดานแล้ว จะพบว่า หมุดหมายไม่น่าจะอยู่ที่การสร้างความเป็นธรรม และการมาของรัฐประหารรอบนี้ก็ยังน่ากังขายิ่งขึ้นทุกขณะว่า ประสงค์สร้างความปรองดองในสังคมจริงหรือไม่

เพราะจากการเดินเกมที่ผ่านมาทั้งหมดตลอด 8 เดือน ปลายทางที่เห็นชัดเจนมากกว่าของการกระทำทั้งหมด คือ ความมุ่งมั่น “กำจัด” นักการเมืองฝ่ายเพื่อไทยและ “จำกัดเสรีปฏิบัติ” ของมวลชนเสื้อแดงอย่างถอนรากถอนโคน

ถ้าเราเอาการลงมติของ สนช. ถอดถอนคุณยิ่งลักษณ์ พร้อมทั้งคุณนิคม อดีตประธานวุฒิสภา และคุณสมศักดิ์ อดีตประธานรัฐสภา ในวันที่ 23 มกรา เป็นจุดโฟกัสในการศึกษา จะพบว่า การถอดถอนครั้งนี้ มิใช่การเดินเกมที่ดำเนินไปอย่างแยกขาดจากหมากตัวอื่น

คำกล่าวของคุณวิชา มหาคุณ เกี่ยวกับอำนาจของ สนช. ในการพิจารณาถอดถอนคุณยิ่งลักษณ์นั้นบางช่วงบางตอน แกพูดชัดเจนในทำนองว่า “แม้ความผิดของคุณยิ่งลักษณ์จะขึ้นกับรัฐธรรมนูญ 50 และรัฐธรรมนูญดังกล่าวไม่มีแล้วก็ตาม แต่ความผิดก็ย่อมเป็นความผิด”   

หลักเหตุผลดังกล่าวน่าสนใจยิ่ง เพราะเท่ากับเป็นการวางหลักใหม่ในการใช้และตีความกฎหมายชนิดที่นักกฎหมาย นักนิติศาสตร์ควรต้องกลับไปเรียนใหม่ทั้งหมด กล่าวคือ ถ้าว่ากันตามตรรกะคุณวิชาที่ให้ความสำคัญกับ “การเอาผิดคนโกง” มากกว่า “หลักการ”ของกฎหมาย ผมเห็นสมควรว่า คดี ปรส.ก็ดี คดี สปก. 4-01 ก็ดี ควรรื้อขึ้นมาใหม่ทั้งหมด เพราะแม้จะหมดอายุความ แต่ก็ประจักษ์ชัดว่ามีการทุจริต และเมื่อมีการทุจริต ก็เท่ากับเป็นความผิด ด้วยเหตุที่ความผิดไม่ขึ้นกับหลักกฎหมายใดตามวิธีการใช้เหตุผลของคุณวิชา ก็เล่นงานมันเลยครับลูกพี่ อย่าให้คนโกงมีที่ยืน

ข้อนี้ นับรวมไปถึงรัฐประหารทุกๆ ครั้งที่เกิดขึ้นในประเทศไทยด้วยก็ได้นะครับ คือ รัฐประหารนี่นับเป็นความผิดฐานฉีกรัฐธรรมนูญ และหลังรัฐประหาร ก็มักทำการ “นิรโทษกรรม” พวกตัวเองกัน นิรโทษกรรมแปลว่ายอมรับว่ามีความผิดเกิดขึ้น จึงต้องนิรโทษให้พ้นผิด ซึ่งตามตรรกะคุณวิชา เมื่อผิดก็จึงอกาลิโก ไม่ขึ้นกับกฎหมายและเวลา แม้ รธน.ที่ฉีกจะไม่มีแล้ว แต่ความผิดก็จึงยังต้องเป็นความผิดอยู่ดี ตามตรรกะนี้ งั้นประหารสิครับ! อย่าให้ใครมาว่าได้ว่า สองมาตรฐาน จัดการให้เหมือนกันหมดเลยครับลูกเพ่!!!  

.. แหม่ ผมก็ล้อเล่นเท่านั้นแหละครับ ใครจะกล้าหือกับพระเดชพระคุณท่านกันล่ะ

อย่างไรก็ตาม การลงมติถอดถอนที่เกิดขึ้นในวันนี้  ก็ได้ส่งผลให้คุณยิ่งลักษณ์ถูกเว้นวรรคทางการเมือง 5 ปี ซึ่งจะสอดคล้องพอดิบพอดีกับจังหวะร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่ดำเนินการภายใต้กรอบคิดของรัฐธรรมนูญชั่วคราว พ.ศ.2557 มาตรา 35(4) ว่า จะต้องมีกลไกป้องกัน มิให้ผู้กระทำการทุจริตหรือประพฤติมิชอบ เข้าดำรงตำแหน่งทางการเมืองอย่างเด็ดขาด

นั่นหมายถึงว่า กรณีเว้นวรรคทางการเมืองของคุณยิ่งลักษณ์จะไม่ใช่ 5 ปี แต่เป็นเว้นวรรคตลอดไป

ไม่เพียงเท่านี้ การถอดถอนและตัดสิทธิทางการเมืองคุณยิ่งลักษณ์ อันสืบเนื่องมาจากการทุจริตโครงการรับจำนำข้าว จะยังสามารถเหยียบซ้ำลงไปได้อีก ด้วยการเดินหมากในฟากของคณะทำงานร่วม ป.ป.ช. กับอัยการสูงสุด ที่กำลังดำเนินการฟ้องการจำนำข้าวในรูปของคดีอาญา

ทั้งหมดนี้ ล้อไปด้วยกันกับเกมของฝั่ง กกต. ที่ช่วงไม่นานมานี้ ออกมาเปิดประเด็นเรื่องความจำเป็นต้องหาผู้รับผิดชอบต่อการทำให้การเลือกตั้ง 2 ก.พ. 57 เป็นโมฆะ และกำลังเตรียมฟ้องเรียกค่าเสียหายอีกราว 3,000 ล้านบาท
ความน่าสนใจของเกมกระดานนี้ ซึ่งใช้หมากหลายตัวเดินพร้อมเพรียงกันอย่างสอดประสานมันอยู่ที่ว่า ความพยายามและเจตนาดังกล่าวสะท้อนชัดถึงการที่ ‘ฝ่ายอำนาจจารีตประเพณี’ หวาดกลัวยิ่งที่จะต้องต่อกรกับฝ่ายเพื่อไทยที่นำโดยยิ่งลักษณ์ในสนามแข่งขันทางการเมืองสมัยใหม่ ที่แม้พวกเขาจะเป็นผู้กุมอำนาจกำหนดกฎกติกา มารยาทในการแข่ง แต่ก็มิสู้วางใจได้อยู่ดีว่าจะได้รับชัยชนะ

นั่นก็เพราะถ้าประเมินตามสภาพจริงแล้ว แม้มวลชน ‘ภายใต้’ ฝ่ายอำนาจจารีตประเพณีจะคอยแซะและโจมตีคุณยิ่งลักษณ์อยู่ตลอดในเรื่องความสามารถส่วนตัวของนาง แต่ก็ต้องยอมรับว่าในสายตาของมวลชนฝ่ายเพื่อไทยและมวลชนเสื้อแดงจำนวนไม่น้อย นางค่อนข้างมี popularity ที่สูงมาก ซ้ำหลายคนยังมองนางในระดับความนิยมที่สูงกว่าพี่ชายของนางเสียอีก

ที่ผ่านมา เราจะเห็นว่าในปฏิบัติการถอนรากถอนโคนฝ่ายเพื่อไทยนั้น ยิ่งลักษณ์และทีมงานจำใจร่วมเล่นเกมนี้อย่าง “รู้อยู่แล้ว” ว่าจะต้องแพ้ ดังนั้น ในรูปแบบเกมแบบนี้จึงไม่แปลกที่นางจะ ‘เล่นบท’ นางเอกแสนดีผู้ถูกกระทำย่ำยีจากคนพาลมาโดยตลอด

นับตั้งแต่การวางแนวทางบริหารจัดการการกดดันจากม็อบ กปปส. ที่ภาพรวมเน้นความละมุนละม่อม ประนีประนอม ไม่แข็งกร้าวดุดันเหมือนพี่ชาย และได้รับ feedback ที่ค่อนข้างดีจากต่างชาติด้วยซ้ำไป

มาจนถึงหลังรัฐประหารที่นางและทีมงานเน้นการผลิตซ้ำชุดของ ‘เรื่องเล่า’ ที่ว่าด้วยการยินยอม ไม่ต่อสู้แข็งขืน แต่ก็ยังถูกกระทำรังควาญไม่สิ้นสุด อาทิ การออกมาให้ข่าวว่ารู้แต่ต้นว่า ‘พวกเขา’ จะโค่นตนเอง

ผมไม่ได้กระแนะกระแหนนะครับ ในทีก็เห็นใจนางอยู่เพราะเกมที่ฝ่ายตรงข้ามเล่นเพื่อจัดการนางนั้น ว่ากันตามตรง คือ มีลักษณะเลือกปฏิบัติ แต่ไม่เลือกวิธีการ และไม่ยึดบรรทัดฐานห่_อะไรเลย

ดังนั้น สคริปต์ที่ฝ่ายเพื่อไทยวางไว้ให้กับยิ่งลักษณ์ บวกกับ การกระทำของกลุ่มอำนาจจารีตประเพณีเอง เป็นปัจจัยหนุนส่งให้บทนางเอกแสนดีผู้ถูกกระทำ เป็นบทที่นางเล่นได้โดดเด่นมาก และคะแนนสงสารจะช่วยหล่อเลี้ยงให้นางอยู่ในความคำนึงของผู้คน ที่ไม่จำกัดอยู่เพียงมวลชนเสื้อแดงเท่านั้น

แต่ทั้งหมดทั้งมวลจะผลักดันให้ยิ่งลักษณ์ไปอยู่ในบท “อองซานซูจี หญิงแกร่งผู้ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย” ในสายตาผู้ที่สนับสนุนนาง และเป็น point ที่ ‘ขายได้’ ดียิ่งนักแล ในประชาคมระหว่างประเทศ

…ผมไม่ได้เชิดชูนางนะฮะ อย่าเพิ่งหมั่นไส้ไป เพียงแต่อยากชี้ว่าอันนี้เป็นความเป็นไปได้จริงๆ ของการเดินหมากยาวๆ จากฝ่ายเพื่อไทย

นอกจากนี้ ในระยะสั้น แนวโน้มหลังการถอดถอนและพักสิทธิทางการเมืองของคุณยิ่งลักษณ์จะมีความเป็นไปได้ที่ความไม่พอใจจะแผ่วงกว้างขึ้น เพราะฝ่ายหนึ่งถูกบีบและไล่กำจัดจนตกกระดาน เมื่อมนุษย์หลังพิงฝา ถูกบีบให้ทางเลือกแคบลง มนุษย์จะกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัว และคาดเดาได้ยาก

แนวโน้มอันนี้ผมคิดว่าทางกลุ่มอำนาจจารีตประเพณีก็น่าจะเล็งเห็นอยู่ไม่มากก็น้อย หากพวกเขาตัดสินใจตอบโต้ด้วยการห้ามนำเสนอข่าว นั่นจะยิ่งเข้าทาง เพราะเท่ากับสำทับซ้ำไปถึงภาพที่คุณยิ่งลักษณ์ถูกกระทำย่ำยีอย่างไม่รามือ ยิ่งไปกว่านั้น ในโลกยุคปัจจุบัน การสกัดกั้นการไหลเวียนของข้อมูลข่าวสารนับเป็นเรื่องยากยิ่ง ขนาดมหาอำนาจใหญ่ยักษ์อย่างจีนที่ได้รับสมญาเกี่ยวกับระบบควบคุมเซนเซอร์ข้อมูลข่าวสารในเครือข่ายอินเตอร์เน็ตว่า “the Great Firewall of China” ก็ยังลำบากที่จะทำและไม่สำเร็จ 100% นับประสาอะไรกับประเทศอย่างเรา
แต่ก็ใช่ว่าฝ่ายอำนาจจารีตประเพณีจะนิ่งเฉยเสียทีเดียว เราจะเห็นว่าพวกเขาก็วางหมากเตรียมพร้อมเผชิญกับฝ่ายตรงข้ามเอาไว้ล่วงหน้า อย่างน้อยใน 2 ส่วนด้วยกัน คือ (1) การเร่งออก พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ ซึ่งจะให้อำนาจเจ้าหน้าที่รัฐในการควบคุมการเคลื่อนไหวของมวลชน โดยมีบทลงโทษค่อนข้างแรง กับ (2) การเร่งผลักดัน ร่าง พ.ร.บ. ว่าด้วยการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ ซึ่งจะให้อำนาจเจ้าหน้าที่รัฐเข้าถึงข้อมูลการติดต่อสื่อสารในทุกช่องทางไล่ตั้งแต่ระบบอินเตอร์เน็ต โทรศัพท์ แฟกซ์ มาจนถึงระบบไปรษณีย์

ที่ยกเว้นอยู่บ้าง เห็นจะเป็นนกพิราบส่งสาร

อย่างไรก็ตาม การเตรียมแผนดังกล่าวนั้น ผมใคร่เตือนสติว่าเป็นความผิดพลาดทางวิธีคิด มันสะท้อนว่าพวกเขายังคงติดอยู่ในกับดักทางความคิดของตนเองเกี่ยวกับการต่อสู้ทางการเมือง ที่แตกต่างออกไปมีเพียงยุทธวิธีที่ใช้เท่านั้น ส่วนวิธีคิดในการต่อสู้ยังเหมือนเดิม

พวกเขายังคงมุ่งมั่นที่จะต่อสู้ด้วยการ “กำจัด” ฝ่ายตรงข้าม และความพยายามในรอบนี้แปลความหมายให้เราเข้าใจว่า “อย่าให้รัฐประหารครั้งนี้เสียเปล่าเหมือนครั้งปี 49” หมายถึง “อย่าให้รัฐประหารครั้งนี้ยับยั้งชัยชนะของนักการเมืองฝ่ายทักษิณไม่สำเร็จเหมือนคราวนั้น”

ด้วยเหตุที่คิดแบบนี้ เราจึงเห็นภารกิจที่ได้รับมอบหลังรัฐประหารรอบนี้ มีลักษณะถอนรากถอนโคนอย่างเข้มข้นหนักหน่วงกว่ารอบก่อน โดยมีหมุดหมายมุ่งที่จะรื้อฟื้นโครงสร้างอำนาจแบบระบอบประชาธิปไตยครึ่งใบขึ้นมาใหม่ หรืออย่างน้อยที่สุด คือ ระบอบประชาธิปไตยช่วงก่อน 2540 ซึ่งรัฐธรรมนูญไม่เอื้อต่อการได้มาซึ่งฝ่ายบริหาร-รัฐสภาที่มีเสถียรภาพและนายกฯ มีความเข้มแข็ง

ในเป้าหมายอุดมคตินี้ นักการเมืองจะมีความสามารถเล่นการเมืองแค่อยู่ในขอบเขตที่จำกัดเท่านั้น และฝ่ายธุรกิจเอกชน/กลุ่มทุน ไม่อาจคาดหวังผลกำไรเป็นกอบเป็นกำจากฝ่ายนักการเมืองในระบบรัฐสภาแบบดังกล่าวได้มากนัก แต่จะเติบโตอย่างยั่งยืนแน่ๆ ถ้าสามารถผูกสัมพันธ์เป็นเครือข่ายกับอำนาจนอกระบบผ่านความสัมพันธ์แบบจารีตประเพณี เช่น การแต่งงาน, สายสัมพันธ์เครือญาติ, การต่างตอบแทน, การอุปถัมภ์กันไปมา ฯลฯ

ผลลัพธ์เป้าหมายจากปฏิบัติการถอนรากถอนโคนฝ่ายเพื่อไทยและเสื้อแดง ประการหนึ่งอยู่ที่อุดมคติดังกล่าว นั่นคือ การรับประกันโครงสร้างเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมวัฒนธรรม ที่ไม่เท่าเทียมให้ดำรงอยู่อย่างสถาพร

กลับไปเป็นสังคมที่วัดกันที่ชาติกำเนิดและเครือข่ายพวกพ้องน้องพี่

เพราะมันเป็นสภาพแวดล้อมที่ฝ่ายอำนาจจารีตประเพณีได้เปรียบ

วาทกรรมคืนความสุข การทำให้เมืองไทยกลับไปมีความสุขเหมือนเก่า หมายถึง ความสุขรูปแบบข้างต้น ซึ่งเอาเข้าจริงๆ แล้ว เป็นเรื่องที่ขัดฝืนพลวัตความเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยอยู่มากพอดู

สังคมไทยวันนี้ไปไกลเกินกว่าจะยอมรับความเหลื่อมล้ำแบบไม่ควรเกิดขึ้น (discrepancy) ดังกล่าว

เมื่อคนกลุ่มน้อยกลุ่มหนึ่งได้รับสิ่งที่เขาไม่สมควรจะได้รับ ในขณะที่คนกลุ่มอื่นส่วนใหญ่ของประเทศไม่ได้ในสิ่งที่พวกเขาสมควรได้ อันนี้เรียกว่า ความไม่เป็นธรรม (injustice) และมันจะเป็นตัวถ่างให้ความขัดแย้งในอนาคตร้าวลึก รุนแรง ชนิดที่ไม่ต้องเพ้อฝันถึงความปรองดอง

เอาแค่หลีกเลี่ยงสงครามก็ยากแล้ว

ในที่นี้ ผมไม่ได้คิดจะหลอกด่า ขู่กรรโชก หรือดักคอแต่อย่างใด เพราะยอมรับว่าไม่ค่อยหวังอะไรกับสิ่งจะเกิดขึ้นอยู่พอควร เอาเป็นว่า จะเอายังไงก็ว่าไปตามกันเถิด แต่อย่าให้สังคมบอบช้ำเละเทะจนเกินไป

ด้วยความหวังเพียงระดับนั้น ผมจึงใคร่ขอเสนอสิ่งที่พอจะเป็นทางเลือกอื่นสำหรับกลุ่มอำนาจจารีตประเพณีในการต่อกรกับนักการเมืองฝ่ายเพื่อไทย การเคลื่อนไหวและแรงปรารถนาของเสื้อแดง ตลอดจนกลุ่มอำนาจใหม่อื่นๆ ได้บ้าง และเป็นเรื่องที่ทำแล้วจะเป็นบุญกุศลต่อสังคมได้พอทำเนา

ข้อเสนอของผมเป็นเรื่องง่ายๆ 2 ข้อ คือ

(1) อย่าใช้เวลาที่อยู่ในอำนาจให้เสียเปล่า

เหมือนสมัยหลังรัฐประหาร 49 ด้วยการตั้งโจทย์ผิดๆ ตั้งแต่วันนั้นจนวันนี้พวกท่านก็ยังวางยุทธศาสตร์การต่อสู้หลักอยู่ที่การไล่ล่ากำจัดฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง การสร้างทักษิณให้เป็น ‘ผีร้าย’ ขึ้นมาไม่ทำให้ท่านชนะการต่อสู้ รังแต่ทำให้เกิดความเกลียดชังระหว่างกันในสังคม ความเกลียดชังนี้เกิดขึ้นระหว่างคนที่เชื่อในเรื่องเล่าเกี่ยวกับทักษิณและครอบครัวชินวัตรแตกต่างกันสุดขั้ว ฝ่ายหนึ่งมองพวกเขาเป็นฮีโร่ ขณะที่อีกฝ่ายมองพวกเขาเป็นผีร้าย
การขาดแคลนเรื่องเล่ากลางๆ ที่ประกอบขึ้นจากข้อเท็จจริง โดยต่างหันยึดถือเรื่องเล่าที่ต่างขั้วสุดโต่งเป็นตัวหล่อเลี้ยงโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดความรุนแรงอยู่ตลอดเวลา เสมือนดินระเบิดที่วางรอไว้อยู่แล้ว ในขณะที่ท่านใช้เวลาระหว่างครองอำนาจในช่วงที่ผ่านมา ปั้นความเป็นผีให้กับฝ่ายตรงข้าม ท่านยังกระหน่ำโจมตีวิพากษ์วิจารณ์ทุกสิ่งอย่าง เว้นเพียงอย่างเดียว คือ การวิพากษ์ตนเอง ซึ่งถ้าลองหันไปมองรอบๆ ตัวจะสังเกตว่าโลกได้เปลี่ยนไปจากยุคสมัยที่พวกท่านครองอำนาจนำไปแล้วไกลโขนัก คำถามที่น่าขบคิดไม่ได้อยู่ที่ว่าท่านจะหยุดยั้งฝ่ายตรงข้ามอย่างไร แต่เป็นคำถามว่า ท่านจะตามเขาทันได้อย่างไรมากกว่า

(2) หัดใช้เวลาที่อยู่ในอำนาจให้เป็นประโยชน์

สิ่งที่พวกท่านควรทำ คือ เร่งปรับตัวเองให้เข้ากับสภาพแวดล้อมทางการเมืองที่ไม่ได้เป็นเหมือนสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชส่งสมณะทูตจากมคธไปเผยแพ่ศาสนาอีกแล้ว กลุ่มองค์กรในฝ่ายอำนาจจารีตประเพณี ควรพากันเร่งปรับปรุงตนเองทั้งโครงสร้างองค์กร บุคลากร นโยบายที่จะเอาไว้เสนอขายแข่งกับฝ่ายตรงข้าม รวมไปถึงวิธีคิดที่มีต่อโลกและผู้คน ซึ่งมิใช่ไพร่ทาสโง่เง่าที่จะจิกหัวใช้หลอกไปทำนู่นนี่นั่นได้เหมือนอดีต และแม้หลายคนจะยังคงยินยอมให้ทำเช่นนั้นอยู่ก็ตาม แต่คนส่วนใหญ่ของประเทศมิใช่แบบนั้น

พวกเขาเป็นชนสมัยใหม่ที่มองตนเองอยู่ในสถานะผู้บริโภคสินค้าและบริการสาธารณะจากรัฐ และเขามีสิทธิเลือกซื้อจากผู้ขายที่ทำงานได้ดีกว่า โจทย์ของท่านไม่ได้อยู่ที่การขัดแข้งขัดขาคู่แข่ง หรือการห้ามยับยั้งการขายของคนอื่นเขา แต่เป็นการขายแข่ง ในกรอบกติกาที่ยุติธรรม แฟร์ๆ พร้อมกับต้องใจกว้างเปิดพื้นที่ อำนวยความสะดวกให้มีผู้ขายหลายรายแข่งขันกัน อันจะเป็นผลดีต่อผู้บริโภคโดยรวมที่จะได้รับสินค้าและบริการสาธารณะที่ดีที่สุด ในราคาค่างวดถูกที่สุด

ถ้าว่ากันตามแนวศาสนาพุทธ ทุกสิ่งในโลกล้วนกาลิโก คือ ไม่เที่ยง หมุนเปลี่ยนไปตามกาล  สิ่งเดียวที่อกาลิโก คือ พระธรรมคำสอน และสารัตถะในนั้นสอนว่า ทุกสิ่งล้วนไม่เที่ยง เปลี่ยนแปลง เกิดขึ้น และดับสูญ

บัดนี้โลกได้เปลี่ยนไปแล้ว และเปลี่ยนไปเรื่อยๆ พวกท่านเองที่หยุดอยู่กับที่ ความพยายามให้โลกหยุดหมุน หรือ ย้อนกลับไปเหมือนยุคที่พวกท่านเรืองอำนาจ .. ย่อมเป็นความพยายามที่สูญเปล่า

ในเวลาว่างๆ หัดปลีกตัวออกจากหมอดู โหราศาสตร์ ไสยศาสตร์ มาอ่านธรรมะจริงๆ เสียบ้างนะครับ!!