“สี จิ้นผิง” เยือน “ซาอุฯ” กระชับสัมพันธ์จีน-อาหรับ สะเทือนสหรัฐฯ

Photo: AFP

เจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน มกุฎราชกุมารและผู้ปกครองโดยพฤตินัยของซาอุดีอาระเบีย ให้ต้อนรับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน อย่างอบอุ่นในการเดินทางเยือนริยาด และอาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดระหว่างวอชิงตันกับริยาด

ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีนเดินทางเยือนซาอุดีอาระเบียอย่างเป็นทางการเป็นเวลา 3 วันนับตั้งแต่วันที่ 7 ธันวาคม ซึ่งเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2559 ที่เป็นการเยือนประเทศผู้ส่งออกน้ำมันดิบรายใหญ่ที่สุดของโลก ขณะที่จีนก็เป็นผู้บริโภคพลังงานรายใหญ่ที่สุดของโลก

การเดินทางครั้งนี้สี จิ้นผิงได้ร่วมประชุมทวิภาคีกับกษัตริย์ซัลมานแห่งซาอุดีอาระเบียและมกุฎราชกุมารโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน (MBS) อีกริยาดยังจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดระหว่างจีนกับผู้นำ 6 ประเทศอ่าวซึ่งจะถือเป็นหลักหมายสำคัญในประวัติศาสตร์การพัฒนาความสัมพันธ์จีน-อาหรับ

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเพียงไม่กี่เดือนหลังจาก “โจ ไบเดน” ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เยือนอิสราเอลและซาอุดีอาระเบีย

สี จิ้นผิง ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นซึ่งพิธีการถูกออกแบบมาเพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างปักกิ่งและริยาด และเพิ่มสถานะของจีนในฐานะพันธมิตรทางยุทธศาสตร์ของราชอาณาจักร

บรรยากาศเช่นนี้ตรงกันข้ามกับการต้อนรับแบบเรียบง่ายที่ซาอุฯ จัดให้แก่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐฯในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา

ความสัมพันธ์ระหว่างซาอุดิอาระเบียและสหรัฐฯ กำลังถดถอยแย่ลงอย่างต่อเนื่อง รอยร้าวฉานที่สืบเนื่องจากสหรัฐฯ ไม่พอใจนโยบายด้านน้ำมันของซาอุฯ และกรณีสังหารโหด จามาล คาชอกกี นักหนังสือพิมพ์ซาอุดีเมื่อปี 2018

ซาอุดีอาระเบียถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากเกี่ยวกับบทบาทโดยพฤตินัยใน OPEC+ และการตัดสินใจของกลุ่มที่จะลดการผลิตน้ำมัน มันเป็นฟางเส้นสุดท้ายในความสัมพันธ์ระหว่างซาอุดีอาระเบียกับสหรัฐฯ

ดังนั้น การเยือนซาอุฯที่เป็นไปอย่างทันท่วงทีของสี จิ้นผิง ครั้งนี้จะเป็นการส่งสารที่แข็งแกร่งถึงผู้เล่นหลักในการเมืองระดับโลกอย่างมีนัยสำคัญ

ที่ผ่านมาปักกิ่งมักถือว่าตะวันออกกลางเป็นภูมิภาคที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวซึ่งมอบทรัพยากรและโอกาสมากมาย ตั้งแต่น้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติสำรองไปจนถึงตลาดการเงินที่มีรายได้สูง และท่าเรือสำคัญสำหรับการขนส่งระหว่างประเทศ รวมไปถึงการลงทุนทางเทคโนโลยี และการขายอาวุธ

ในขณะเดียวกัน เพื่อพัฒนาอิทธิพลทางภูมิรัฐศาสตร์ของตนเองในภูมิภาคปักกิ่งยังเดินเกมอย่างสมดุล จากข้อตกลงความร่วมมือ 25 ปีกับอิหร่าน การเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางยุทธศาสตร์ด้านพลังงานกับประเทศในอ่าวอาหรับ ข้อตกลงการค้าเสรีจีน-GCC และการลงทุนทางเทคโนโลยีในอ่าวอาหรับ

เนื่องจากอุปสงค์ในประเทศที่เพิ่มขึ้นของจีนและการปฏิรูปอุตสาหกรรมอย่างรวดเร็ว ปักกิ่งจึงเปลี่ยนเป็นผู้นำเข้าน้ำมันรายใหญ่ และเนื่องจากต้องพึ่งพาน้ำมันจากกลุ่มประเทศอ่าว จีนจึงมีนโยบายต่อภูมิภาคนี้แตกต่างจากสหรัฐฯ

ในระหว่างการเยือนครั้งนี้ บริษัทจีนและซาอุดี ได้ลงนามข้อตกลง 34 ฉบับครอบคลุมการลงทุนในพลังงานสะอาด เทคโนโลยีสารสนเทศ บริการคลาวด์คอมพิวติ้ง การขนส่ง การก่อสร้าง ฯลฯ โดยไม่มีการระบุมูลค่า แต่ก่อนหน้านี้เอสพีเอรายงานว่า สองประเทศจะทำข้อตกลงกันรวมมูลค่า 30,000 ล้านดอลลาร์

ริยาดมีเหตุผลมากมายที่จะกระชับความสัมพันธ์กับปักกิ่งให้แน่นแฟ้น ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเมืองระดับภูมิภาคและระดับโลก จีนเป็นผู้ซื้อน้ำมันอันดับหนึ่งของซาอุดิอาระเบีย และซาอุฯ ก็ได้ซื้ออาวุธจากจีน เช่น โดรนและเครื่องบินรบ ซาอุดิอาระเบียแซงหน้ารัสเซียในฐานะผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ที่สุดไปยังจีน คิดเป็นมูลค่าการค้าทวิภาคี 87,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2564

การเดินทางของ สี จิ้นผิง เป็นสิ่งยืนยันว่าอิทธิพลของจีนกำลังเติบโตในประเทศอ่าวอาหรับ และช่วยให้ เจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน สามารถแสดงให้สหรัฐฯ เห็นว่าริยาดมีผู้สนับสนุนที่เป็นมหาอำนาจ และไม่ได้เข้าตาจนเพราะการถูกวอชิงตันบีบ มีหลายสิ่งอย่างที่เป็นเดิมพันสำหรับมกุฎราชกุมาร และการเดินทางเยือนของ สี จิ้นผิง สามารถช่วยให้ซาอุดีอาระเบียได้รับความเคารพและความน่าเชื่อถือในเวทีโลก

ก่อนหน้านี้ในเดือนกรกฎาคม ไบเดนเดินทางไปตะวันออกกลางเป็นครั้งแรกเพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอด “Jeddah Security and Development Summit” ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้แสดงวิสัยทัศน์สำหรับการเดินทางครั้งนี้โดยเขียนบทความลงในหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ และประกาศว่า “จุดมุ่งหมายหลักของการเยือนครั้งนี้คือการปรับทิศทางใหม่ แต่ไม่ทำลายความเป็นหุ้นส่วนระยะยาวกับราชอาณาจักร”

เขาเสริมว่ามีเป้าหมายเพื่อตอบโต้การรุกรานของรัสเซียและ “ทำให้ตัวเราอยู่ในตำแหน่งที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เพื่อเอาชนะจีนด้วยแนวทางการกีดกัน”

ทว่าริยาดไม่ได้มีส่วนร่วมกับความกระตือรือร้นนี้ของวอชิงตัน ในระหว่างการเยือนเมืองเจดดาห์ของ ไบเดน ทางเจ้าชายบินซัลมาน ไม่ได้ไปเข้าร่วมพิธีต้อนรับอย่างเป็นทางการสำหรับประธานาธิบดีสหรัฐฯ เขาเพียงส่งผู้ว่าการนครเมกกะห์ไปที่สนามบินเพื่อต้อนรับไบเดนและทีมของเขาแทน

หลังการประชุมสุดยอด “Jeddah Security and Development Summit” ไบเดนกล่าวในงานแถลงข่าวว่า “เราจะไม่เดินจากไปและปล่อยให้จีน รัสเซีย หรืออิหร่านเข้ามาเติมเต็ม … เราจะพยายามสร้างช่วงเวลานี้ด้วยความกระตือรือร้น มีหลักการ ความเป็นผู้นำของอเมริกา”

แต่ไบเดนก็ถูกตอกกลับโดย “อะเดล อัลจูเบร์” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศซาอุดิอาระเบีย เขาวิพากษ์วิจารณ์ความคิดเห็นของไบเดนเกี่ยวกับจีนว่า “เราสร้างสะพานเชื่อมกับผู้คน” รัฐมนตรีกล่าวระหว่างให้สัมภาษณ์กับ CNBC “จีนเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของเรา เป็นตลาดพลังงานขนาดใหญ่และเป็นตลาดใหญ่ในอนาคต และจีนเป็นผู้ลงทุนรายใหญ่ในซาอุดีอาระเบีย แน่นอนว่าสหรัฐฯ เป็นหุ้นส่วนอันดับหนึ่งของเราในด้านความมั่นคงและการประสานงานทางการเมือง เช่นเดียวกับการลงทุนและการค้าระหว่างสองประเทศ”

ในช่วงที่ผ่านมา ความหวาดระแวงที่ริยาดมีต่อวอชิงตันไม่เคยปรากฏชัดนัก แต่ในทางตรงกันข้าม ความอบอุ่นระหว่างซาอุดีอาระเบียและจีนกลับทวีความรุนแรงมากขึ้น และการเยือนของสีจะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการเมืองในภูมิภาค โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสัมพันธ์ที่เย็นชาระหว่างซาอุดีอาระเบียและสหรัฐอเมริกา

การแข่งขันที่ทวีความรุนแรงขึ้นระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่จะการครอบงำทางภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลางและทั่วโลก ยังช่วยให้ซาอุดีอาระเบียได้รับประโยชน์จากความสัมพันธ์กับทั้งสองประเทศโดยไม่เสียเปรียบฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

แม้ว่าการเดินทางครั้งนี้อาจไม่ใช่จุดเปลี่ยน แต่แน่นอนว่าจะส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในระดับภูมิภาคในตะวันออกกลาง ซึ่งไม่ต้องสงสัยเลยว่า ผู้กำหนดนโยบายของสหรัฐฯ จะเฝ้าติดตามผลการเดินทางครั้งนี้อย่างใกล้ชิด เนื่องจากอาจเป็นตัวกำหนดอนาคตของความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างริยาดและวอชิงตัน!!