ข่าวสารโฆษณาที่ถูกเผยแพร่อย่างกว้างขวางโดยเฉพาะในโลกโซเชียล ระบุว่า วันที่ 20 ธันวาคมนี้ “สมาพันธ์เครือข่ายผู้รักอะฮฺลุลบัยตฺและศ่อฮาบะฮฺ” จะจัดงานมหกรรมวิชาการ “ผู้รักอะฮฺลุลบัยตฺและศอฮาบะฮฺ” ครั้งที่ 1 ณ อาคารหอประชุมสำนักงานคณะกรรมการอิสลามแห่งประเทศไทย ศูนย์บริหารกิจการศาสนาอิสลามแห่งชาติ เฉลิมพระเกียรติคลองเก้า เขตหนองจอก กรุงเทพฯ
คนทั่วไปมองเผินๆ อาจดูแล้วก็เป็นเพียงแค่งานสัมมนาวิชาการทั่วไปๆ ทว่าจากวิดีทัศน์ในยูทูปรวมทั้งการโฆษณาเชิญชวนผู้คนไปร่วมงานแล้ว ทำให้รู้ว่างานนี้จัดขึ้นมาก็เพื่อบรรยายถล่มกลุ่ม “มุสลิมชีอะห์” โดยเฉพาะ!!
https://www.youtube.com/watch?v=mb91PscSGCM&feature=youtu.be
คลิปวิดีโอเชิญชวนคนมาร่วมงานที่มีตราสัญลักษณ์ “ไวท์ชาแนล” และมีเนื้อหาโจมตีชีอะห์อย่างโจ่งแจ้ง
อีกทั้งเมื่อมองไปที่ผู้จัดงาน ซึ่งก็คือ “สมาพันธ์เครือข่ายผู้รักอะฮฺลุลบัยตฺและศ่อฮาบะฮฺ” นั้นก็พอมองเห็นว่า กลุ่มดังกล่าวโยงใยและมีเครือข่ายที่สัมพันธ์ไปยังสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม “ไวท์ชาแนล” ที่มี “นายปราโมทย์ สมะดี” หรือที่รู้จักกันในนาม “เชคริฎอ” เป็นผู้บริหาร และเขาจะเป็นหนึ่งในวิทยากรที่จะมาร่วมบรรยายในงานดังกล่าวด้วย
ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า ผู้จัดงานก็คือมุสลิมซุนนี สาย “วะฮาบี” หรืออีกชื่อหนึ่งว่า “ซาลาฟี” ที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับกลุ่ม “มุสลิมชีอะห์” !!
อันที่จริงความขัดแย้งระหว่าง “ชีอะห์” กับ “ซุนนี” นั้นมีมานับแต่ในอดีต อันเนื่องมาจากมีมุมมองทางศาสนาที่แตกต่างกันนับแต่วันที่ท่านศาสดามูฮัมหมัดเสียชีวิต จนทำให้อิสลามแตกออกเป็นสองนิกายใหญ่ ทว่าความขัดแย้งดังกล่าวนั้นเดิมทีก็จำกัดอยู่ในวงวิชาการเท่านั้น
จนมาในห้วง 3-4 ทศวรรษหลังนี้ เมื่อ “อิหร่าน” ปฏิวัติอิสลามสำเร็จ ความขัดแย้งทางวิชาการก็พัฒนาการเป็นความขัดแย้งทางการเมือง โดนมีคู่กรณีคือ “ซาอุดิอาระเบีย”
อิหร่านคือเสาหลักของชีอะห์ ส่วนซาอุคือเสาหลักของซุนนี ทว่าซาอุฯ มิใช่ซุนนีแบบทั่วไป แต่เป็นนิกายแยกย่อยออกไปจากซุนนี เรียกว่า “วะฮาบี” หรือ “ซะลาฟี”
ดังนั้นบนความขัดแย้งทางการเมืองในโลกปัจจุบัน ที่คนทั่วไปเห็นว่าเป็นความขัดแย้ง ระหว่างชีอะห์-ซุนนี นั้น อันที่จริงคงต้องพูดว่าเป็นความขัดแย้งระหว่าง “ชีอะห์” กับ “วะฮาบี” ถึงจะถูกต้อง!!
ซึ่งวะฮาบีที่มีความขัดแย้งกับชีอะห์ จะหมายถึง วะฮาบีที่มีแนวคิดแบบสุดโต่ง (extremism) และ หัวรุนแรง (radicalism) และโดยเฉพาะพวกขวาสุดโต่ง (far-right)
และเมื่อการเมืองระหว่างประเทศในตะวันออกกลางขัดแย้งรุนแรงหนักขึ้น ก็ส่งผลต่อมุสลิมในประเทศต่างๆ ทั่วโลกไม่เว้นไทย ที่วันนี้ต้องยอมรับว่า อุณหภูมิความขัดแย้งระหว่างนั้นเริ่มปะทุหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ
และท่วงทำนองก็เลียนแบบสถานการณ์ในตะวันออกกลางไม่ผิดเพี้ยน นั่นคือเริ่มจากการกล่าวหา โจมตี สร้างความเกลียดชัง และที่รุนแรงสุดก็คือการ “ตักฟีร” ซึ่งก็คือ “การวินิจฉัยว่าเป็นผู้ปฏิเสธ” หรือ “ไม่ใช่อิสลาม” นั่นเอง
ดังนั้นวันนี้ กล่าวได้ว่า กลุ่มวะฮาบี ในประเทศไทย ไม่ได้มองชีอะห์เป็นมุสลิมแต่อย่างใด พวกเขาจึงเรียกมุสลิมกลุ่มนี้ด้วยคำว่า “ลัทธิชีอะห์” หรือ “ศาสนาชีอะห์”
ซึ่งนี่เป็นไปในรูปแบบที่กลุ่มรัฐอิสลาม หรือ “ไอซิส” กำลังปฏิบัติในพื้นที่ตะวันออกกลาง โดยเฉพาะในซีเรีย และอิรัก อันทำให้กลุ่มไอซิสถูกเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “กลุ่มตักฟีรี”
ซึ่งการตักฟีร ของกลุ่มไอซิสนี้พัฒนามาจากแนวทางหลักความเชื่อแบบวะฮาบี ดังนั้นจึงจะเห็นว่า สมาชิกไอซิสทั้งหมดล้วนมาจากผู้ที่เชื่อในแนวทาง วะฮาบีซาลาฟี โดยทั้งสิ้น!!
อันที่จริง การกล่าวหา โจมตี สร้างความเกลียดชัง และ “ตักฟีร” มุสลิมชีอะห์ในประเทศไทยนั้นมีมาอย่างต่อเนื่องหนักเบาล้อไปตามสถานการณ์ของตะวันออกกลาง
ซึ่งช่องทางหลักคือการเดิยสายบรรยายตามสถานที่ต่าง และใช้ทีวีดาวเทียมมุสลิม 4 ช่องที่กลุ่มวะฮาบีเป็นเจ้าของโจมตีชีอะห์ตลอดมา
ซึ่งที่ผ่านมา มุสลิมชีอะห์ ก็ไม่ได้ขยับตอบโต้แต่ประการใด อาจมีบ้างประปรายก็แค่ผ่านทางเว็บไซต์หรือสื่อโซเชียลเท่านั้น แต่โดยส่วนมาก็จะสอนศาสนาและปฏิบัติศาสนากิจในกลุ่มของตนเอง ด้วยชีอะห์ในประเทศไทยมีจำนวนน้อยมากเมื่อเทียบกับมุสลิมส่วนใหญ่ของประเทศที่เป็นซุนนี
ทว่า จากงานที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 20 ธ.ค. นี้ ซึ่งจะจัดที่ “ศูนย์บริหารกิจการศาสนาอิสลามแห่งชาติ เฉลิมพระเกียรติ” นั้น ทำให้มุสลิมชีอะห์ในประเทศไทยที่ได้ทราบข่าวต่างรู้สึกคับข้องขุ่นใจเป็นอย่างมาก
หนึ่งนั้น ด้วยสถานที่ดังกล่าว เป็น “สถานที่ราชการ” ซึ่งไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะถูกใช้เป็นสถานที่พูดสร้างความเกลียดชัง (Hate Speech) หรือดูหมิ่นดูแคลนความเชื่อของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง โดยเฉพาะเมื่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกฉบับให้ความคุ้มครองสิทธิทางความเชื่อแก่พลเมืองไทยทุกฝ่าย โดยมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นอัครศาสนูปถัมภกทุกศาสนา
แล้วยิ่งการนำสถานที่ดังกล่าวซึ่งมีชื่อเต็มว่า ศูนย์บริหารกิจการศาสนาอิสลามแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ มาใช้ผิดวัตถุประสงค์ จึงเป็นเรื่องหมิ่นเหม่และไม่สมควรอย่างยิ่ง
นอกจากนี้ยังมีนัยคำถามเพิ่มเติมถึงกรมการปกครองถึงการอนุญาตให้ใช้ห้องประชุม ว่าถูกต้องตามระเบียบหรือไม่ ??
เพราะในระเบียบกรมการปกครองว่าด้วยการใช้สถานที่ศูนย์บริหารกิจการศาสนาอิสลามแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ พ.ศ. 2550 ข้อ 5 ระบุ ชัดว่า “ผู้มีสิทธิขอใช้สถานที่ต้องเป็นหน่วยงานของราชการ รัฐวิสาหกิจหรือหน่วยงานของรัฐหรือองค์การเอกชน กรณีเป็นองค์การเอกชนต้องเป็นหน่วยงานหรือองค์การที่จัดตั้งขึ้นโดยถูกต้องและหรือได้รับการรับรองตามกฎหมาย”
ซึ่งในข้อเท็จจริงตามการโฆษณาเชิญชวนคนมาร่วมงานนั้น ระบุว่าจัดโดย “สมาพันธ์เครือข่ายผู้รักอะฮฺลุลบัยตฺและศ่อฮาบะฮฺ” ซึ่งไม่น่าใช่องค์กร “ที่จัดตั้งขึ้นโดยถูกต้องและหรือได้รับการรับรองตามกฎหมาย” และถ้ามีการเล่นแร่แปรธาตุโดยการใช้องค์กรที่จดทะเบียนถูกต้องเป็นผู้ยื่นขอ แต่เมื่อได้รับอนุญาตกลับใช้องค์กรอื่นที่โฆษณาประชาสัมพันธ์ในฐานะผู้จัดงาน เช่นนี้เป็นสิ่งที่ถูกต้องตามระเบียบราชการหรือไม่
ยิ่งกว่านั้นยังมีคำถามถึงกรมการปกครองและเจ้าพนักงานผู้ให้อนุญาตว่า ได้ตรวจสอบก่อนหรือไม่ว่าองค์กรที่มายื่นขอนั้นมีที่มาที่ไปอย่างไร??
ประการต่อมา สถานที่ดังกล่าวเป็นสัญลักษณ์ของการบริหารกิจการศาสนาอิสลามอิสลามแห่งราชอาณาจักรไทย เป็นสถานที่ตั้งของสำนักงานคณะกรรมการอิสลามแห่งประเทศไทย รวมทั้งสำนักจุฬาราชมนตรีและบ้านพัก ดังนั้นสถานที่ดังกล่าวจึงควรถูกสงวนไว้ใช้ในกิจการที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมทั้งหมด มิใช่เป็นเวทีให้ฝ่ายใดฝ่ายฝ่ายหนึ่งมากล่าวโจมตีอีกฝ่ายหนึ่ง อันจะทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้ว่า องค์กรบริหารกิจการศาสนาอิสลาม อย่าง “คณะกรรมการอิสลามแห่งประเทศไทย” และ “จุฬาราชมนตรี” นั้นได้ “เลือกข้าง” และ “ไม่เป็นกลาง”
ทั้งการที่ผู้บริหารองค์กรศาสนาอิสลามยินยอมให้ใช้สถานที่แห่งนี้ ก็เสมือนว่า เห็นด้วยกับแนวทางและวิธีการของกลุ่มวะฮาบี
ซึ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ในหมู่มุสลิมชีอะห์ก็คับข้องใจและรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ บ้างแล้ว !!
เหตุเพราะที่ผ่านมาชีอะห์โดนโจมตีอย่างหนักหน่วงรุนแรง ถึงขนาดถูกกล่าวหาว่า “ไม่ใช่มุสลิม” ด้วยซ้ำ แต่องค์กรบริการกิจการศาสนาอิสลาม กลับไม่เคยออกมาแสดงจุดยืนใดๆ ต่อสิ่งที่เกิดขึ้น
โดยเฉพาะต่อกรณีซึ่งเกิดขึ้นเมื่อราวกลางเดือนกันยายนที่ผ่านมา เมื่อวะฮาบีกลุ่มหนึ่งได้ปลอมแปลงแอบอ้างคำสั่งท่านจุฬาราชมนตรี ว่าสั่งให้ประธานคณะกรรมการอิสลามทุกจังหวัดต่อต้านชีอะห์นั้น โดยข้อความดังกล่าวถูกแชร์ซ้ำออกไปเป็นจำนวนมาก ซึ่งหลังจากนั้นจุฬาราชมนตรีก็ไม่ได้ออกมาแก้ต่างหรือดำเนินการใดๆ เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว อันทำให้มุสลิมชีอะห์เสียความรู้สึกมากพอสมควร ว่าจุฬาราชมนตรีในฐานะผู้นำองค์กรศาสนาอิสลามไม่ได้ปกป้องมุสลิมชีอะห์เลย
นอกจากนั้นการที่บุคคลซึ่งมีตำแหน่งในองค์กรบริหารกิจการศาสนาอิสลามและเป็นบุคคลแวดล้อมจุฬาราชมนตรีซึ่งควรจะมีท่าทีเป็นกลางและยับยั้งความขัดแย้งทางนิกายในประเทศไทย แต่กลับแสดงตนเลือกข้างและสุมไฟความขัดแย้งเพิ่ม เช่น “ดร.วิสุทธิ์ บิลล่าเต๊ะ” เป็นต้น ซึ่งมีตำแหน่งเป็นคณะทำงานของจุฬาราชมนตรี และผู้อำนวยการศูนย์ประสานงานสำนักจุฬาราชมนตรี ประจำภาคใต้ แต่กลับโพสต์เฟซบุ๊คในทำนองให้ร้ายมุสลิมชีอะห์อยู่เนืองๆ นั้น ก็ทำให้มุสลิมชีอะห์จับจ้องด้วยความไม่สบายใจ
สเตตัสต่างๆ ของ ดร.วิสุทธิ์ บิลล่าเต๊ะ สะท้อนมุมมองที่มีต่อมุสลิมชีอะห์
แล้วยิ่งในงานนี้ เมื่อมี นายอรุณ บุญชม ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการอิสลามประจำกรุงเทพมหานคร และ รองประธานคณะผู้ทรงคุณวุฒิจุฬาราชมนตรี มาเป็นประธานในพิธี จึงเสมือนเป็นการตอกย้ำความเชื่อดังกล่าว
วันนี้ในหมู่มุสลิมชีอะห์มีการพูดบทบาทและตำแหน่ง “จุฬาราชมนตรี” กันอย่างไม่ค่อยสบายใจนัก เพราะเดิมตำแหน่งนี้นับตั้งแต่ปฐมจุฬาราชมนตรีแห่งกรุงสยาม คือ เจ้าพระยาบวรราชนายก (เฉกอะหะหมัด) ที่ดำรงตำแหน่งในสมัยสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม ไล่มาจนถึงจุฬาราชมนตรีคนที่ 13 ล้วนเป็นมุสลิมชีอะห์ทั้งสิ้น เพิ่งจะมีจุฬาราชมนตรี 5 คนหลังนี่เองที่เป็นมุสลิมซุนนี
ซึ่งตำแหน่งจุฬาราชมนตรีในอดีตนั้น นอกจากเป็นผู้นำมุสลิมควบคุมดูแลเกี่ยวกับกิจการศาสนาอิสลามในราชอาณาจักรสยามแล้ว ยังมีฐานะเป็นที่ปรึกษาพระมหากษัตริย์ไทย และช่วยราชการแผ่นดิน มีบทบาทสำคัญในการสร้างบ้านแปงเมืองมาโดยตลอด
สายตระกูลเฉกอะหมัด วันนี้แตกสาแหรกออกเป็นหลายตระกูลใหญ่ทั้งที่เป็นมุสลิมและนับถือพุทธศาสนา ซึ่งก็ยังคงมีบทบาทรับใช้บ้านเมืองเสมอมาเช่นบรรพบุบุรษ เมื่อเกิดเหุตการณ์เช่นนี้ บรรดาลูกหลานในฝ่ายมุสลิมชีอะห์พวกเขาจึงรู้สึกว่าคุณงามความดีของบรรพบุรุษของตนที่สั่งสมมาแต่กาลเก่านั้นไม่มีคุณค่าใดเลยหรือ จึงทำให้วันนี้ลูกหลานที่เป็นมุสลิมชีอะห์ถูกย่ำยีและถูกดูหมิ่นเหยียดหยามในสถานที่ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางแห่งศาสนาอิสลามอันมีรากเหง้ามาจากบรรพบุรุษของตน??
นอกจากนั้นพวกเขายังตั้งคำถามด้วยว่า ตลอดระยะเวลายาวนานหลายศตวรรษในวันที่มุสลิมชีอะห์มีบทบาทและมีอำนาจอย่างสูงในประเทศนี้ เคยมีสักครั้งไหมที่พบว่า ชีอะห์ได้ใช้อำนาจนั้นกดขี่หรือดูถูกดูหมิ่นความเชื่อของมุสลิมฝ่ายซุนนี??
แล้วที่สำคัญ เมื่อมองลึกลงไปที่เบื้องหลังผู้จัดงานหรือเกี่ยวข้องกับผู้จัดงาน ก็เป็นเรื่องที่น่าตระหนกว่า มีบางคนที่มีแนวคิดสนับสนุนไอซิสอย่างเปิดเผย!!
และบางคนถึงขนาดให้การสัตยาบันกับไอซิสไปแล้ว!!
นี่จึงเป็นการบ้านฝ่ายสำหรับฝ่ายความมั่นคงของไทยที่คงถึงเวลาจะต้องออกมา เทคแอคชั่นอะไรกันบ้าง เพราะการปล่อยให้มีการสร้างความแตกแยก ยั่วยุ สร้างความเกลียดชัง ที่สุดก็จะพาไปสู่สถานการ์ที่ยากเกินจะควบคุม เหมือนกับที่กำลังดำเนินไปในตะวันออกกลางอยู่ในขณะนี้!!
https://www.youtube.com/watch?v=9B0dqNvS6jw
มุรีด ทีมะเสน ที่ปรึกษาโครงการสัมมนา “ผู้รักอะฮฺลุลบัยตฺและศอฮาบะฮฺ” และเป็นวิยากรหลัก ประจำสถานีดาวเทียม ไวท์ชาแนล พูดสนับสนุนและขอพรให้ไอซิส
สิ่งหนึ่งที่ฝ่ายความมั่นคงต้องตระหนักและต้องทำความเข้าใจให้ลึกซึ้ง ก็คือ การ “ตักฟีร” ซึ่งกล่าวหาว่าผู้อื่นเป็นผู้ปฏิเสธ ที่กำลังดำเนินไปโดยกลุ่มวะฮาบีที่กล่าวหาชีอะห์ว่าไม่ใช่มุสลิมนั้น ไม่ใช่แค่ความขัดแย้งที่ถูกจำกัดอยู่แค่ความขัดแย้งทางศาสนาเท่านั้น!!
แต่จากการ “ตักฟีร” นี่แหละคือจุดเริ่มต้นของการที่จะนำไปสู่การทำร้ายร่างกาย การฆ่าสังหาร หรือการใช้ความรุนแรงใดๆ ก็ได้หากสถานการณ์เอื้ออำนวย
เพราะในทางหลักการเมื่อตัดสินผู้ใดว่าผู้ใดเป็นผู้ปฏิเสธ ก็จะนำมาซึ่งกฏที่แตกต่างกัน ระหว่างผู้ที่เป็นมุสลิมและไม่ใช่มุสลิม ซึ่งนี่คือแนวทางของไอซิส ที่ปฏิบัติอยู่ในตะวันออกกลาง
เริ่มต้นจากการตัดสินผู้อื่นว่า ไม่ใช่มุสลิม เมื่อไม่ใช่มุสลิมก็จะไม่ได้รับความคุ้มครองในฐานะมุสลิม (ตามที่พวกเขาคิด) จากนั้นจึงลงสังหาร การสังหารชีอะห์ในอิรักและซีเรียโดยไร้ความปรานีก็มาจากการใช้กฎนี้!! หรือแม้กระทั่งการสังหารซุนนีด้วยกันเองในเมืองโมซูล ประเทศอิรัก ที่ไม่ยอมรับการนำของตนก็มาจากการใช้กฏข้อนี้!!
นอกจากนั้นการฆ่าชนกลุ่มน้อยยาซีดี ชาวคริสต์ หรือบุคคลอื่นๆ ก็ล้วนมีรากเหง้ามาจากการใช้กฏข้อนี้ทั้งสิ้น!!
ในสถานการณ์ปัจจุบัน หน่วยงานรัฐ รวมทั้งองค์กรศาสนาอิสลาม และผู้นำศาสนา ต้อง เร่งระงับความแตกแยกที่กำลังก่อตัวขึ้นโดยด่วน เพราะการนิ่งเฉยแล้วปล่อยให้กระแสที่เปราะบางนี้นำพาไปสู่จุดความขัดแย้งรุนแรง ที่สุดก็จะกลายเป็นภัยความมั่นคงของประเทศชาติ เหมือนที่กำลังเกิดขึ้นในตะวันออกกลาง
นัยวิธีที่เป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดในการะงับความแตกแยกทางนิกายศาสนา ก็คือกรณีประเทศคูเวต ที่เมื่อมัสยิดชีอะห์แห่งหนึ่งถูกระเบิดโดยมือระเบิดฆ่าตัวตายของไอซิส ทำให้ชีอะห์บาดเจ็บล้มตายนับร้อยคน ในสถานการณ์เช่นนั้น ผู้ปกครองรัฐคูเวตซึ่งเป็นซุนนีรีบรุดเดินทางไปด้วยตนเองและถึงสถานที่เกิดเหตุภายในไม่กี่นาที ครั้นเมื่อพระองค์ถูกเตือนให้เดินทางออกจากสถานที่ดังกล่าวอันเนื่องมาจากเกรงว่าจะเป็นอันตราย พระองค์ได้ตรัสว่า “พวกเขาคือลูกๆ ของข้าพเจ้า” ซึ่งได้กลายเป็นวาจาอมตะและถูกยกย่องจากทุกฝ่าย จากบทบาทดังกล่าวของพระองค์ได้ทำให้ชาวคูเวตทั้งซุนนีและชีอะห์มีความสามัคคีกลมเกลียว ปรองดองกัน และร่วมใจกันนำพาชาติคูเวตหลุดพ้นวิกฤติความขัดแย้ง
วันนี้สถานการณ์ประเทศไทยบนความขัดแย้งทางนิกายจึงอยู่บนทางสองแพร่งคล้ายกับที่คูเวตเคยประสบ ซึ่งที่สุดแล้วประเทศไทยต้องการเป็นแบบคูเวต หรือจะปล่อยให้สถานการณ์นำพาไปเป็นอย่างซีเรียและอิรัก นี่เป็นเรื่องที่ผู้มีอำนาจในบ้านเมืองต้องรีบเร่งจัดการ โดยมีงานมหกรรมวิชาการ “ผู้รักอะฮฺลุลบัยตฺและศอฮาบะฮฺ” ครั้งที่ 1 ณ อาคารหอประชุมสำนักงานคณะกรรมการอิสลามแห่งประเทศไทย เป็นตัวชี้วัดเบื้องต้น ว่าจะยังคงปล่อยให้มีการดำเนินการต่อไปหรือไม่!!