ทุกครั้งที่เวลาย่ำสนธยามาเยือน นั่นคือข้อบ่งชี้โดยธรรมชาติว่าบางซีกของโลกใบนี้จะต้องเจอกับสภาวะแห่งความมืดมิด และเมื่อใดที่โมงยามแห่งความมืดผันผ่าน โลกซีกนั้นก็จะได้พบกับอรุณรุ่งอันสว่างไสว อันเป็นสิ่งธรรมดาสามัญและเป็นธรรมชาติของโลกใบนี้
แผ่นดินอิหร่านในยุคสมัยหนึ่งก็เช่นกัน เมื่อเรซา ข่าน เรืองอำนาจ เขาได้สมคบคิดกับสหรัฐอเมริกาและอิสราเอล กดขี่ข่มเหงนักการเมืองฝ่ายตรงข้าม นักการศาสนา นักวิชาการ นักศึกษา และประชาชนผู้รักในเกียรติและศักดิ์ศรีของตนเองและมาตุภูมิ
จับนักการเมือง นักการศาสนา นักวิชาการ นักศึกษา ประชาชนฝ่ายตรงข้าม ทั้งลอบฆ่า อุ้มหาย ขังคุก และเนรเทศ
นโยบายต่างๆ ของชาห์ หรือเรซา ข่านทั้งบิดา และลูก นอกจากการปฏิรูปที่ดินเพื่อคนรวย ขึ้นราคาน้ำมันในประเทศ ซื้ออาวุธมากมายจากอเมริกา และนำฐานทัพอเมริกาเข้ามาก่อตั้งในประเทศอิหร่านแล้ว ชาห์ยังจัดงานในพิธีสำคัญของตัวเองอย่างฟุ่มเฟือย ทำคนจนยิ่งจนลง ความจนขยายวงกว้าง เกิดเป็นช่องหว่างระหว่างคนจนถี่ห่างเหมือนฟ้ากับเหว
ทำให้นักวิชาการ นักการศาสนา นักศึกษา ประชาชน ออกมาต่อต้านนโยบายต่างๆ ของชาห์ ในขณะที่นักวิชาการ นักการศาสนา นักศึกษาและประชาชนออกมาเดินขบวนประท้วงนโยบายของชาห์อย่างสันตินั้น
แต่ชาห์กลับใช้ตำรวจลับออกมาปราบปรามมวลมหาประชาชนอย่างรุนแรง ทำให้นักศึกษาและประชาชนต้องบาดเจ็บล้มตายจากการปราบปรามอย่างโหดเหี้ยมของชาห์ หลายต่อหลายครั้งที่มีการเดินขบวนประท้วงเป็นจำนวนมาก
และหนึ่งในผู้นำที่ออกประท้วงชาห์อย่างดุเดือดเผ็ดร้อนรุนแรง และหาญกล้าอย่างมีวิทยปัญญานั้น คือ อยาตุลลอฮ์ รูหุลลอฮ์ อัลมูซาวีย์ อัลโคมัยนี
ท่านออกมาต่อต้านระบอบการปกครองแบบทรราชย์ของชาห์ ตั้งแต่วัยหนุ่มทั้งในที่ลับและที่แจ้ง เป็นทั้งผู้ที่อยู่เบื้องหน้าและเบื้องหลัง
ทั้งรูปแบบการเรียนการสอนเพราะท่านครู ทั้งรูปแบบของการเทศนาธรรมบนธรรมาสน์เพราะท่านเป็นผู้นำเป็นนักการศาสนา ทั้งในรูปแบบของการปราศรัยในที่ชุมนุม เพราะท่านเป็นนักการเมืองโดยจิตวิญญาณ อิมามโคมัยนีเชื่อและศรัทธามั่นว่า ศาสนาอิสลามกับการเมืองเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน นอกจากท่านจะต่อต้านชาห์ด้วยวิธีการดังกล่าวแล้ว ท่านยังเขียนบทความ เขียนหนังสือเกี่ยวกับ ระบอบอิสลาม(อัล-หุกูมะตุลอิสลามียะห์) และผู้ปกครองรัฐในทัศนะของอิสลาม (วิลายะตุลฟะกิห์) และหนังสือสำคัญๆ อีกหลายเล่ม เกี่ยวศาสนบัญญัติและอื่นๆ บรรดาศิษยานุศิษย์ก็ได้นำคำบรรยาย คำปราศรัยของท่านอัดเทปคาสเซ็ทแจกจ่ายให้กับประชาชนได้ฟังแนวคิดของท่านเกี่ยวกับอิสลามและการเมือง
ทำให้คนหนุ่มสาวในยุคสมัยนั้นดวงตาเห็นธรรม ตาสว่างกันทั้งแผ่นดิน ทำให้มีความหวังใหม่กับการนำเสนอศาสนาในรูปแบบใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อนในโลกมุสลิม นอกจากอำนาจรัฐในยุคศาสดา และผู้นำที่ทรงธรรม
ด้วยคมแห่งวาทะธรรมอันหาญกล้าและจริยธรรมอันงดงามของท่าน ทำให้ชาห์รู้สึกหวาดกลัว จึงสั่งให้ตำรวจลับจับท่านไปคุมขังและจบลงด้วยการเนรเทศท่านไปในหลายประเทศ ตั้งแต่ตุรกี อิรัก คูเวต และฝรั่งเศส
แม้ท่านจะถูกรังแก กดขี่ข่มเหงบีบคั้นจากระบอบทรราชย์ของชาห์ถึงขนาดลอบสังหารบุตรชายสุดที่รักของท่านก็ตาม มันไม่ได้ทำให้ท่านสะดุดหยุดการต่อสู้ลง
คมปากกาของท่าน วาทะอันดุเด็ดเผ็ดร้อนของท่าน ปัญญาอันเปรื่องปราชญ์ของท่านได้สั่นสะเทือนหัวใจของคนหนุ่มสาว จุดประกายทางความคิดดุจประทีปนำทาง ในที่สุดก็สามารถถอนรากโคนบัลลังก์แห่งยูงทองอันยิ่งใหญ่ของชาห์ได้สำเร็จ
ท่านอิมามโคมัยนี ได้เคยเขียนคำอรรถาธิบายความ หนังสือของปราชญ์ท่านหนึ่งว่า…
“ หากความสัมพันธ์ทางการเมืองระหว่างประเทศอิสลามกับชาวต่างชาติจะนำไปสู่การที่ฝ่ายหลังจะเข้ามาครอบครองดินแดนของประชาชน โดยทรัพยากรของฝ่ายแรก หรือทำให้มุสลิมกลายเป็นทาสทางการเมืองแล้วไซร้ ความสัมพันธ์เหล่านี้ก็ควรเป็นที่ต้องห้ามแก่บรรดาผู้นำ และข้อตกลงที่เป็นพันธนาการต่างๆ ก็ควรจะถือว่าเป็นโมฆะไปโดยปริยาย เป็นเรื่องสำคัญเช่นกันที่ชาวมุสลิมจะต้องนำทางและรบเร้าบรรดาผู้นำของพวกเขาให้ยุติความสัมพันธ์เช่นนี้เสีย แม้จะต้องทำการต้านทานในทางลบก็ต้องทำ”
อิมามโคมัยนี เคยกล่าวเอาไว้ว่า…
“ เมื่อเราพูดถึงอิสลามต้องไม่ใช่ความล้าหลังและไม่พัฒนา แต่กลับกัน ความเชื่อของเราช่วยให้อิสลามเป็นศาสนาที่เรียกร้องความก้าวหน้า”
“ อิสลามคือศาสนาแห่งความก้าวหน้าและเป็นธัมมาธิปไตยตามความหมายที่แท้จริง เราต้องการรัฐบาลหนึ่งขึ้นมาซึ่งเป็นรัฐบาลที่มีความต่างจากรัฐบาลทั้งหลายในโลกนี้ กฎเกณฑ์ของอิสลามคือกฎเกณฑ์ที่มีความก้าวหน้าเป็นอย่างมาก มันประกอบไปด้วย อิสรภาพ เสรีภาพ และการพัฒนาที่แท้จริง”
“ โครงการทั้งหลายของรัฐบาลอิสลามนั้นต้องนำมาซึ่งความผาสุกของมนุษย์ทุกคน ทุกคนต้องมีชีวิตอยู่อย่างปลอดภัยและสุขสบายเคียงข้างกันและกัน อิสลามนั่นเองที่ปลดปล่อยทุกท่านจากการที่ไม่เป็นอิสระเสรี อิสลามได้ปลดปล่อยพวกท่านจากแอกนั้น อิสลามได้วางหลักประกันแห่งความมีเสรีภาพของพวกท่านจงหันหน้าเข้ามาหาอิสลามเถิด”
ในวันที่ 16 มกราคม 1979 ชาห์ก็ต้องระเห็จออกนอกประเทศ
ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 1979 อิมามโคมัยนี เดินทางกลับประเทศ
วันที่ 1 มีนาคม 1979 อิมามโคมัยนี ได้ประกาศจัดตั้งสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านอย่างเป็นทางการ
ก่อนประกาศเป็นสาธารณรัฐอิสลามได้มีการทำประชามติชาวอิหร่าน 50 ล้านคนในสมัยนั้น 99% เห็นชอบให้ใช้ระบอบอิสลามปกครองประเทศ นับแต่นั้นมาสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านจึงอุบัติขึ้นมาท้าทายอำนาจทั้งตะวันออกและตะวันตก ว่าในโลกนี้นอกจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ระบอบเสรีประชาประชาธิปไตย และระบอบคอมมิวนิสต์ให้ยังได้เลือกข้างแล้ว ยังมีระบอบอิสลาม หรือระบอบธัมมาธิปไตยเป็นทางเลือกใหม่อีกด้วย
ในวันที่ 3 มิถุนายน 1989 อิมามโคมัยนี ถึงแก่อสัญกรรม สภาผู้เชี่ยวชาญรัฐธรรมนูญได้โหวตแต่งตั้งให้ อยาตุลลอฮ์ อาลี คาเมเนอี เป็นผู้นำคนใหม่แห่งสาธารณรัฐอิสลามคนต่อไป
อิมามโคมัยนีจึงเปรียบเสมือนผู้ถือคบไฟอันเป็นดวงประทีปส่องนำทางให้กับชาวเปอร์เซียและชาวโลก เป็นแนวทางแห่งการยึดถือเพื่อเป็นทางรอดให้กับประชาชาติที่ถูกกดขี่บนหน้าแผ่นดินสืบไป