“อิสราเอล-ฝ่ายต่อต้าน” โจมตีตอบโต้แต่ละครั้ง เสี่ยงสงครามขยายวงลามตะวันออกกลาง

ป้ายรูปฮัสซัน นัสรุลเลาะห์ เลขาธิการขบวนการฮิซบุลเลาะห์ แขวนอยู่บนอาคารที่ถูกโดรนโจมตี สังหารผู้นำหมายเลขสองของกลุ่มฮามาส /เลบานอน /วันที่ 2 มกราคม 2024 (ภาพ AFP via Daily Sabah)

เมื่ออิสราเอลสังหารรองผู้นำกลุ่มฮามาส การโจมตีด้วยจรวดของฮิซบุลเลาะห์เพื่อตอบโต้ และการสังหารสมาชิกกลุ่มกองกำลังที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่านในกรุงแบกแดดได้ผลักดันให้ตะวันออกกลางที่ผันผวนไปสู่ขอบเหว

การโจมตีและการตอบโต้แต่ละครั้งเพิ่มความเสี่ยงที่สงครามหายนะของอิสราเอลในฉนวนกาซาจะลุกลามไปทั่วภูมิภาค

และในการเผชิญหน้ากันมานานหลายทศวรรษระหว่างสหรัฐฯ และอิสราเอลต่ออิหร่านและกลุ่มติดอาวุธที่เป็นพันธมิตรของเตหะราน มีความหวั่นเกรงว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจก่อให้เกิดสงครามที่ขยายวงกว้างขึ้นได้ หากเพียงเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ตนดูเหมือนอ่อนแอ

เมื่อเกมหมากรุกที่เชื่อมโยงกันมีความซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ โอกาสที่จะคำนวณผิดก็เพิ่มสูงขึ้น

ฮามาสกล่าวว่าปฏิบัติการเมื่อวันที่ 7 ต.ค. ซึ่งก่อให้เกิดสงครามในฉนวนกาซานั้นเป็นการกระทำที่เป็นการต่อสู้ของชาวปาเลสไตน์ล้วนๆ เพื่อต่อต้านการครอบงำชาวปาเลสไตน์ของอิสราเอลที่มีมานานหลายทศวรรษ ไม่มีหลักฐานว่าอิหร่าน ฮิซบุลเลาะห์ หรือกลุ่มพันธมิตรอื่นๆ มีบทบาทโดยตรงหรือรู้เรื่องนี้มาก่อนด้วยซ้ำ

แต่เมื่ออิสราเอลตอบโต้ด้วยการเปิดปฏิบัติการทางทหารที่ทำลายล้างมากที่สุดครั้งหนึ่งในศตวรรษที่ 21 ต่อฉนวนกาซา ดินแดนที่ถูกปิดล้อมซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของชาวปาเลสไตน์ 2.3 ล้านคน ขบวนการที่เรียกว่า “ฝ่ายอักษะแห่งการต่อต้าน” (อิหร่านและกลุ่มติดอาวุธที่อิหร่านสนับสนุนทั่วทั้งภูมิภาค) ก็เผชิญกับแรงกดดันให้ตอบโต้อิสราเอล

วาระปัญหาของชาวปาเลสไตน์ได้รับเสียงสะท้อนอย่างลึกซึ้งทั่วทั้งภูมิภาค และการปล่อยให้กลุ่มฮามาสอยู่เผชิญหน้ากับความโกรธเกรี้ยวของอิสราเอลเพียงลำพังก็อาจเสี่ยงต่อการสูญเสียพันธมิตรทางทหารที่อิหร่านสร้างขึ้นนับตั้งแต่การปฏิวัติอิสลามในปี 1979 ที่ทำให้อิหร่านต้องปะทะกับชาติตะวันตก

“พวกเขาไม่ต้องการสงคราม แต่ในขณะเดียวกัน พวกเขาก็ไม่ต้องการให้อิสราเอลโจมตีต่อไปโดยไม่มีการตอบโต้” กัสซิม กัสซีร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านกลุ่มฮิซบุลเลาะห์ชาวเลบานอนกล่าว

“ต้องมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น โดยไม่ต้องทำสงคราม เพื่อให้ชาวอิสราเอลและชาวอเมริกันมั่นใจว่าไม่มีทางเดินหน้าต่อไปได้” เขากล่าว

ในบรรดานักรบตัวแทนระดับภูมิภาคของอิหร่าน กลุ่มฮิซบุลเลาะห์เผชิญกับภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกที่ใหญ่ที่สุด

หากยอมรับการโจมตีของอิสราเอล เช่น การโจมตีในเลบานอนที่คร่าชีวิตรองผู้นำทางการเมืองของฮามาส ก็มีความเสี่ยงที่จะกลายเป็นพันธมิตรที่อ่อนแอหรือไม่น่าเชื่อถือ

อย่างไรก็ตาม หากก่อให้เกิดสงครามเต็มรูปแบบ อิสราเอลก็ขู่ที่จะสร้างความเสียหายครั้งใหญ่ให้กับเลบานอน ซึ่งติดอยู่ในวิกฤตเศรษฐกิจที่รุนแรงอยู่แล้ว แม้แต่ผู้สนับสนุนฮิซบุลเลาะห์เองก็อาจมองว่าเป็นราคาที่หนักหนาเกินกว่าจะจ่ายสำหรับพันธมิตรชาวปาเลสไตน์

ภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกของฮิซบุลเลาะห์

ฮิซบุลเลาะห์ได้โจมตีตามแนวชายแดนเกือบทุกวันนับตั้งแต่สงครามในฉนวนกาซาปะทุขึ้น โดยมีเป้าหมายที่ชัดเจนในการตรึงกองทหารอิสราเอลบางส่วน อิสราเอลได้ตอบโต้ด้วยการโจมตีคืน แต่ดูเหมือนแต่ละฝ่ายจะระมัดระวังกระทำของตนเองเพื่อจำกัดความรุนแรง

การโจมตีด้วยจรวดอย่างน้อย 40 ลูกของฮิซบุลเลาะห์ที่ยิงใส่ฐานทัพอิสราเอลเมื่อวันเสาร์ (3 ม.ค.) เป็นส่งข้อความโดยไม่เริ่มสงคราม

แต่ถ้าเป็น 80 ลูกล่ะ จะเป็นการก้าวไปไกลเกินหรือเปล่า? ถ้ามีคนถูกฆ่าล่ะ? มีผู้เสียชีวิตกี่รายที่จะนำไปสู่การโจมตีเต็มรูปแบบ? คณิตศาสตร์ที่น่ากลัวนี้ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจน!!

อิสราเอลมุ่งมั่นที่จะเห็นพลเมืองของตนหลายหมื่นคนได้กลับไปยังชุมชนใกล้ชายแดนติดกับเลบานอนที่ถูกอพยพออกจากเหตุโจมตีของกลุ่มฮิซบุลเลาะห์เมื่อเกือบสามเดือนก่อน และหลังจากวันที่ 7 ตุลาคม ก็อาจไม่สามารถทนต่อการปรากฏตัวของกลุ่มฮิซบุลเลาะห์ที่อยู่อีกฟากหนึ่งของชายแดนได้อีีกต่อไป

ผู้นำอิสราเอลขู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าจะใช้กำลังทหารหากกลุ่มฮิซบุลเลาะห์ไม่เคารพการหยุดยิงของสหประชาชาติเมื่อปี 2549 ที่สั่งให้กลุ่มฮิซบุลเลาะห์ถอนตัวออกจากชายแดน

“ทั้งสองฝ่ายไม่ต้องการทำสงคราม แต่ทั้งสองฝ่ายเชื่อว่าเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้” โยเอล กูซานสกี นักวิจัยอาวุโสจากสถาบันการศึกษาความมั่นคงแห่งชาติแห่งอิสราเอล มหาวิทยาลัยเทลอาวีฟ กล่าว

“ทุกคนในอิสราเอลคิดว่ามันเป็นเพียงเรื่องของเวลา จนกว่าเราจะสามารถเปลี่ยนความเป็นจริงนี้” เพื่อให้ผู้คนสามารถกลับบ้านได้ เขากล่าว

ด้านสหรัฐฯ ได้ประจำการกองเรือบรรทุกเครื่องบินสองกองในภูมิภาคนี้เมื่อเดือนตุลาคม ลำหนึ่งกำลังกลับบ้านแต่ถูกแทนที่ด้วยเรือรบลำอื่น การเคลื่อนกำลังส่งคำเตือนที่ชัดเจนไปยังอิหร่านและพันธมิตรไม่ให้ขยายความขัดแย้ง แต่ดูเหมือนว่าไม่ใช่ทุกคนจะได้รับข้อความดังกล่าว

กลุ่มติดอาวุธที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่านในซีเรียและอิรักได้ทำการโจมตีฐานทัพสหรัฐฯ ด้วยจรวดหลายสิบครั้ง กลุ่มกบฏฮูซีในเยเมนที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่านได้โจมตีการขนส่งระหว่างประเทศในทะเลแดง ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก อิหร่านกล่าวว่าพันธมิตรดำเนินการด้วยตนเอง ไม่ใช่ตามคำสั่งจากเตหะราน

เล่นอย่างระมัดระวัง

สิ่งสุดท้ายที่ชาวอเมริกันส่วนใหญ่ต้องการหลังจากสองทศวรรษของการสู้รบที่มีค่าใช้จ่ายสูงในอิรักและอัฟกานิสถานก็คือสงครามอีกครั้งในตะวันออกกลาง

แต่ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา กองกำลังสหรัฐฯ ได้สังหารผู้บัญชาการอาวุโสแห่งกองกำลังติดอาวุธในอิรักที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่าน และกลุ่มกบฏฮูซี 10 คนที่พยายามจะขึ้นเรือคอนเทนเนอร์ นำไปสู่การนองเลือดที่อาจเรียกร้องให้มีการตอบโต้

วอชิงตันพยายามดิ้นรนที่จะประสานกองกำลังความมั่นคงนานาชาติเพื่อปกป้องการขนส่งทางเรือในทะเลแดง แต่ดูเหมือนลังเลที่จะโจมตีกลุ่มฮูซีทางบก เมื่อพวกเขาใกล้จะบรรลุข้อตกลงสันติภาพกับซาอุดีอาระเบียหลังสงครามหลายปี

ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่อิสราเอลกล่าวว่า หน้าต่างพันธมิตรในการที่จะให้ทั้งฮิซบุลเลาะฮ์และกลุ่มฮูซีหยุดการโจมตีนั้นกำลังปิดลง

ความตึงเครียดในภูมิภาคมีแนวโน้มที่จะยังคงอยู่ในระดับสูงตราบใดที่อิสราเอลยังคงโจมตีในฉนวนกาซา ซึ่งอิสราเอลระบุว่ามีจุดมุ่งหมายเพื่อบดขยี้กลุ่มฮามาส หลายคนสงสัยว่าจะเป็นไปได้หรือไม่ เนื่องจากกลุ่มนี้หยั่งรากลึกในสังคมปาเลสไตน์ และผู้นำของอิสราเอลเองกล่าวว่าต้องใช้เวลาอีกหลายเดือน

สหรัฐฯ ซึ่งให้การสนับสนุนทางการทูตและการทหารที่สำคัญต่อการรุกรานของอิสราเอล ถูกมองว่าเป็นอำนาจเดียวที่สามารถยุติการโจมตีดังกล่าวได้ ดูเหมือนพันธมิตรของอิหร่านจะเชื่อว่าวอชิงตันจะเข้ามามีส่วนร่วมหากต้นทุนของตนเองสูงเกินไป ด้วยเหตุนี้จึงเกิดการโจมตีฐานทัพสหรัฐฯ และการขนส่งระหว่างประเทศ

แอนโทนี บลินเกน รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ, โจเซป บอร์เรลล์ นักการทูตระดับสูงของสหภาพยุโรป และแอนนาเลนา แบร์บ็อค รัฐมนตรีต่างประเทศเยอรมนี กลับมาที่ภูมิภาคนี้แล้วในสัปดาห์นี้ โดยมีเป้าหมายที่จะพยายามควบคุมความรุนแรงผ่านการทูต

แต่ข้อความที่สำคัญที่สุดจะยังคงถูกส่งโดยจรวด

“อเมริกันไม่ต้องการทำสงครามแบบเปิดกับอิหร่าน และอิหร่านไม่ต้องการทำสงครามแบบเปิดกับสหรัฐฯ” อาลี ฮามาเดห์ นักวิเคราะห์ที่เขียนให้กับหนังสือพิมพ์อัน-นาฮาร์ของเลบานอน กล่าว “ดังนั้นจึงมีการเจรจากันอย่างดุเดือด”

อ้างอิง เดลี่ซาบะห์