ผู้นำสูงสุดอิหร่าน: ขบวนการต่อต้านจะไม่ถอยหลังเพราะการพลีชีพของชายผู้กล้า และชัยชนะจะเคียงข้างพวกเขา

ศุกร์ 4 ต.ค. 67 ตั้งแต่ช่วงเช้าตรู่ ประชาชนชาวอิหร่านได้มุ่งหน้าไปยังมัสยิดอิมามโคมัยนีในกรุงเตหะราน เพื่อเข้าร่วมการละหมาดวันศุกร์ นำโดยผู้นำการปฏิวัติและสาธารณรัฐอิสลาม “อยาตุลเลาะห์ อาลี คาเมเนอี” และพิธีไว้อาลัยให้กับ “ซัยยิด ฮัสซัน นัสรัลเลาะห์” และสหายผู้เสียชีวิต

นี่เป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปีที่ อยาตุลเลาะห์ คาเมเนอี นำการละหมาดวันศุกร์ในกรุงเตหะราน ครั้งสุดท้ายคือหลังการลอบสังหารผู้บัญชาการกองกำลังกุดส์ “กอเซ็ม สุไลมานี”

ขณะเดียวกัน เสียงชาวอิหร่านในกรุงเตหะรานได้เปล่งคำขวัญว่า “เราขอถวายชีวิตต่อซัยยิด นัสรุลเลาะห์” ในพิธีไว้อาลัยแก่ผู้นำผู้เสียชีวิต

ผู้นำสูงสุดอิหร่านกล่าวในคุตบะห์ (เทศนา) ละหมาดวันศุกร์ ยืนยันว่า ขบวนการต่อต้านในภูมิภาคจะไม่ถอยหลังจากการเสียชีวิตของนักรบของตน และปฏิบัติการ “True Promise 2” ถือเป็นสิทธิอันชอบธรรมและถูกต้องตามกฎหมายของอิหร่าน

อยาตุลเลาะห์ คาเมเนอี ยังยืนยันว่าประชาชนชาวปาเลสไตน์มีสิทธิเต็มที่ในการยืนหยัดต่อสู้กับผู้รุกราน และเน้นว่าการปกป้องอย่างกล้าหาญของชาวเลบานอนต่อชาวปาเลสไตน์นั้นเป็นสิ่งที่ชอบธรรมและถูกต้องตามกฎหมาย ไม่มีใครมีสิทธิ์ที่จะวิพากษ์วิจารณ์การป้องกันและสนับสนุนของพวกเขาที่มีต่อกาซา

คาเมเนอีกล่าวว่า ประชาชาติอิสลามในวันนี้มีความตระหนักรู้และสามารถเอาชนะแผนการของศัตรูได้ ศัตรูของประชาชาตินี้ก็คือศัตรูของปาเลสไตน์ เลบานอน อิรัก อียิปต์ ซีเรีย และเยเมน

คาเมเนอียังเน้นว่า ศัตรูของประชาชาติอิสลามนั้นเป็นศัตรูเดียวกัน แม้ว่าวิธีการของศัตรูจะแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ ดังนั้น “เราจำเป็นต้องรัดเข็มขัดป้องกันประชาชาติอิสลามจากอัฟกานิสถานถึงเยเมน และจากอิหร่านถึงกาซาและเลบานอน”

นอกจากนี้ อยาตุลเลาะห์ คาเมเนอียืนยันว่าปฏิบัติการ “พายุอัลอักซอ” นั้นเป็นการกระทำที่ถูกต้องและเป็นธรรมชาติ และเป็นสิทธิของชาวปาเลสไตน์ที่จะทำเช่นนั้น ทุกชาติย่อมมีสิทธิ์ในการปกป้องแผ่นดินและอธิปไตยของตนจากผู้รุกรานและผู้ยึดครอง

เกี่ยวกับปฏิบัติการล่าสุดของอิหร่าน คาเมเนอียืนยันว่า “ปฏิบัติการ True Promise 2 ถือเป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่ของกองทัพของเรา และเป็นการกระทำที่ชอบธรรมตามกฎหมายโดยสมบูรณ์”

คาเมเนอีกล่าวอีกว่า ปฏิบัติการ “True Promise 2” ของอิหร่านเป็นการตอบโต้ที่น้อยที่สุดต่ออาชญากรรมที่น่าสะพรึงกลัวของรัฐไซออนิสต์ และเน้นว่า “อิหร่านจะไม่ล่าช้าในการปฏิบัติหน้าที่ เราจะไม่ทำอย่างไร้เหตุผล ไม่เร่งรีบ และไม่บกพร่องในการดำเนินการ”

“ซัยยิด นัสรุลเลาะห์ เป็นน้องชายและเป็นที่รักของข้าพเจ้า การสูญเสียเขาทำให้เรารู้สึกโศกเศร้าอย่างยิ่ง”

ผู้นำการปฏิวัติและสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน ได้กล่าวส่วนหนึ่งของการเทศนาละหมาดวันศุกร์เป็นภาษาอาหรับ โดยมุ่งหมายสื่อสารถึงประชาชาติอิสลาม โดยเฉพาะประชาชนชาวเลบานอนและปาเลสไตน์ ในคำกล่าวนั้น คาเมเนอีกล่าวว่า “ข้าพเจ้าตั้งใจจะให้เกียรติแก่น้องชายและที่รักของข้าพเจ้า ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจ และเป็นบุคคลที่รักของโลกอิสลาม ผู้มีวาจาอันชาญฉลาดสำหรับประชาชนในภูมิภาค และเป็นดวงประทีปที่ส่องสว่างของเลบานอน ซัยยิด ฮัสซัน นัสรุลเลาะห์ ขอความเมตตาจากอัลลอฮ์จงมีแก่เขา ในการละหมาดวันศุกร์ที่เตหะราน”

เกี่ยวกับการพลีชีพของเลขาธิการพรรคฮิซบุลเลาะห์ คาเมเนอีได้แสดงความโศกเศร้าต่อการจากไปของเขา โดยกล่าวว่า “เราทุกคนต่างรู้สึกเจ็บปวดและเศร้าสลดกับการจากไปของซัยยิดผู้เป็นที่รักของเรา และเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ที่ทำให้เราทุกคนรู้สึกสะเทือนใจอย่างแท้จริง” แต่ยังยืนยันว่า “ความเศร้าของเราไม่ใช่ความสิ้นหวัง”

คาเมเนอียังเน้นว่า นัสรุลเลาะห์ “ได้จากไปในด้านร่างกาย แต่ตัวตนที่แท้จริง จิตวิญญาณ และแนวทางของเขา รวมถึงเสียงที่กึกก้องของเขาจะยังคงอยู่กับเราเสมอ”

คาเมเนอีกล่าวถึงคุณสมบัติของนัสรุลเลาะห์ โดยชี้ให้เห็นว่าเขา “เป็นธงแห่งการต่อต้านที่ยืนหยัดต่อสู้กับเหล่าผู้ชั่วร้ายและพวกที่รุกราน เป็นปากเสียงของผู้ถูกกดขี่และเป็นผู้ปกป้องพวกเขาอย่างกล้าหาญ อีกทั้งยังเป็นกำลังใจให้กับนักต่อสู้ในเส้นทางแห่งความถูกต้อง”

“ฮิซบุลเลาะห์ดั่งต้นไม้ที่งอกงาม”

คาเมเนอีกล่าวในคำเทศนาของเขาว่า “ซัยยิด ฮัสซัน นัสรุลเลาะห์ ผู้เป็นที่รัก ตลอดระยะเวลา 30 ปีที่ผ่านมา ได้เป็นผู้นำการต่อสู้อย่างยากลำบาก และด้วยการวางแผนของเขา ฮิซบุลเลาะห์ได้เติบโตขึ้นในแต่ละขั้นตอน ฮิซบุลเลาะห์คือดั่งต้นไม้ที่งอกงามอย่างแท้จริง”

คาเมเนอียังเน้นว่า ฮิซบุลเลาะห์และผู้นำที่พลีชีพอย่างซัยยิด นัสรุลเลาะห์ โดยการปกป้องกาซา การต่อสู้เพื่ออัลอักซอ และการโจมตีรัฐไซออนิสต์ผู้รุกรานนั้น ได้ก้าวสู่ขั้นตอนสำคัญเพื่อรับใช้ภูมิภาคทั้งหมด

“ขบวนการต่อต้านจะไม่ถอยหลังเพราะการเสียสละของเหล่าชายผู้กล้า”

อยาตุลเลาะห์ คาเมเนอี กล่าวถึงผู้ต่อต้านในภูมิภาคว่า “พี่น้องนักต่อต้านของเราในเลบานอนและปาเลสไตน์ ประชาชนผู้อดทนและจงรักภักดี เลือดและการพลีชีพเหล่านี้จะไม่ทำให้ความมุ่งมั่นของพวกท่านสั่นคลอน แต่จะเพิ่มความเข้มแข็งให้กับพวกท่าน” โดยเน้นว่า “ความเสียหายจะถูกชดเชย และความอดทนและความแน่วแน่ของพวกท่านจะนำมาซึ่งเกียรติและศักดิ์ศรี”

คาเมเนอียังกล่าวเพิ่มเติมว่า ศัตรูผู้ขี้ขลาดไม่สามารถโจมตีโครงสร้างที่แข็งแกร่งของฮามาส ฮิซบุลเลาะห์ และกลุ่มญิฮาดอิสลาม รวมถึงขบวนการต่อสู้อื่น ๆ ได้สำเร็จ จึงได้หันมาแสดงท่าทีว่าชนะผ่านการลอบสังหาร การทำลายล้าง และการโจมตีพลเรือนแทน

เขายังชี้ให้เห็นว่า “ผลจากพฤติกรรมเช่นนี้ได้สะสมความโกรธเคือง และกระตุ้นให้เกิดขบวนการต่อต้านมากขึ้น มีผู้นำและผู้เสียสละเพิ่มขึ้น และสร้างความลำบากให้แก่หมาป่าเลือดเย็นมากยิ่งขึ้น”

คาเมเนอีกล่าวย้ำว่า “ขบวนการต่อต้านในภูมิภาคจะไม่ถอยหลังเพราะการเสียสละของเหล่าชายผู้กล้า และชัยชนะจะอยู่เคียงข้างพวกเขา”

ในบริบทนี้ คาเมเนอีได้กล่าวถึงการสูญเสียผู้นำการปฏิวัติในอิหร่านว่าถือเป็นเรื่องที่ยาก แต่เส้นทางแห่งการปฏิวัติไม่ได้หยุดชะงักหรือถดถอย แต่กลับเพิ่มความเร็วมากยิ่งขึ้น

คาเมเนอีกล่าวถึงอนาคตของรัฐอิสราเอลว่า “การต่อสู้ของผู้กล้าในปาเลสไตน์และเลบานอนทำให้รัฐไซออนิสต์ถอยหลังไป 70 ปี”

เขายังยืนยันว่า รัฐอิสราเอลคือ “ต้นไม้ที่ถูกถอนรากถอนโคนจากพื้นดิน” และความฝันของไซออนิสต์และสหรัฐฯ นั้นเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา

นอกจากนี้ คาเมเนอียังอธิบายว่า “วันนี้ กลุ่มอาชญากรไซออนิสต์ได้ตระหนักแล้วว่าพวกเขาจะไม่มีวันเอาชนะฮามาสและฮิซบุลเลาะห์ได้” โดยชี้ให้เห็นว่า “ปฏิบัติการ ‘พายุอัลอักซอ’ และปีแห่งการต่อต้านในกาซาและเลบานอนได้ทำให้รัฐไซออนิสต์ผู้รุกรานต้องกังวลถึงการรักษาตัวตนของพวกเขาเอง”

คาเมเนอีกล่าวว่าทุกการโจมตีที่เกิดขึ้นกับรัฐนี้ถือเป็นการรับใช้ภูมิภาคและมนุษยชาติทั้งหมด พร้อมทั้งเน้นว่าปัจจัยหลักที่ก่อให้เกิดสงคราม ความไม่มั่นคง และความล้าหลังในภูมิภาคนี้คือรัฐไซออนิสต์และการแทรกแซงของชาติตะวันตกที่อ้างว่าพยายามสร้างสันติภาพและความมั่นคง

อ้างอิง อัลมายาดีน