ผู้นำมุสลิมชีอะห์ไทยและสมาคมนักเรียนเก่าไทย–อิหร่าน ยื่นหนังสือถึงประธานรัฐสภา ร้องเรียนกรณีเจ้าหน้าที่สันติบาลสุวรรณภูมิคุกคามนักศึกษาไทยที่กลับจากอิหร่าน พร้อมประกาศชัดจะไม่ยอมให้มีการรังแกนักศึกษาเช่นนี้อีกต่อไป
วันนี้ (30 ต.ค. 67) เวลา 09.55 น. ณ ห้องแถลงข่าว ชั้น 1 อาคารรัฐสภา ซัยยิดสุไลมาน ฮูซัยนี ผู้นำมุสลิมชีอะห์ไทยและตัวแทนสมาคมนักเรียนเก่าไทย–อิหร่าน ได้ยื่นหนังสือร้องเรียนถึงประธานรัฐสภาและสภาผู้แทนราษฎร โดยมีคณะทำงานทางการเมืองของประธานสภาผู้แทนราษฎร นายอารีเพ็ญ อุตรสินธุ์ ที่ปรึกษาประธานสภาผู้แทนราษฎร และนายมุข สุไลมาน เลขานุการประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นผู้รับหนังสือร้องเรียน ซึ่งมีเนื้อหาเรียกร้องให้มีการตรวจสอบการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่สันติบาล ณ สนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งถูกกล่าวหาว่าใช้มาตรการตรวจค้นและตั้งคำถามกับนักศึกษาไทยที่เดินทางกลับจากอิหร่านในลักษณะคุกคามและอาจสะท้อนอคติต่อสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน
ข้อร้องเรียนจากสมาคมนักเรียนเก่าไทย–อิหร่าน: พฤติกรรมคุกคามและอคติที่ไม่เป็นธรรม
ในเนื้อหาเอกสารร้องเรียน ระบุว่า เมื่อวันที่ 25 ตุลาคมที่ผ่านมานักศึกษาไทยที่เดินทางกลับจากอิหร่านถูกกักตัวและตรวจค้นอย่างละเอียดแบบผิดปกติณสนามบินสุวรรณภูมิโดยมีการตั้งคำถามที่แฝงอคติและไม่เคารพสิทธิมนุษยชนและอาจสะท้อนอคติอย่างไม่เป็นธรรมต่อสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านและพลเมืองไทยที่ศึกษาในประเทศนั้น
ตัวอย่างคำถามเชิงคุกคาม เช่น “อิหร่านฝากอะไรกลับมาบ้าง,” “กลับมาทำไมช่วงนี้,” “หนังสือเดินทางอีกเล่มมีไหม,” และ “ได้สองสัญชาติไหม”
คำถามเหล่านี้สะท้อนเจตนากดดันและตั้งข้อสงสัยที่ไม่เป็นธรรมซึ่งส่งผลกระทบต่อจิตใจของนักศึกษาและทำให้รู้สึกว่าถูกละเมิดสิทธิเสรีภาพในการเดินทางอย่างสงบสุขของพลเมืองไทย
นักศึกษารู้สึกถูกละเมิดสิทธิและไม่ปลอดภัย
สมาคมฯ ชี้ว่า เหตุการณ์ลักษณะนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก แต่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง โดยเจ้าหน้าที่สันติบาลมักตั้งข้อสงสัยและปฏิบัติเช่นนี้ซ้ำๆ กับนักศึกษาไทยที่เดินทางไปหรือกลับจากอิหร่าน ซึ่งพฤติกรรมนี้ส่งผลกระทบทางจิตใจอย่างชัดเจนต่อนักศึกษาไทย รวมถึงสร้างความหวาดกลัวและความรู้สึกไม่ปลอดภัยในการเดินทางไปยังอิหร่าน ประเทศที่มีความสัมพันธ์อันดีกับไทยมายาวนาน
คำเรียกร้องและมาตรการในการตรวจสอบ
เพื่อให้เกิดความชัดเจนและเป็นธรรม ซัยยิดสุไลมาน ฮูซัยนี ในนามของสมาคมนักเรียนเก่าไทย–อิหร่านได้เรียกร้องให้มีการทบทวนและตรวจสอบการทำงานของเจ้าหน้าที่สันติบาลและต้นสังกัดรวมถึงกำหนดมาตรฐานการปฏิบัติหน้าที่ที่เคารพสิทธิและเสรีภาพของประชาชนไทยทุกคนเพื่อให้มั่นใจว่าการปฏิบัติหน้าที่ในอนาคตเป็นไปอย่างยุติธรรมปราศจากการเลือกปฏิบัติอันเกิดจากอคติทางเชื้อชาติหรือสัญชาติ
“ในความเห็นของผม การกระทำของเจ้าหน้าที่ในลักษณะเช่นนี้ไม่เพียงขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชน แต่ยังละเมิดสิทธิความเป็นพลเมืองไทยอย่างไม่อาจยอมรับได้ ทั้งอาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยและอิหร่านได้” ซัยยิดสุไลมาน ฮูซัยนี กล่าวทางโทรศัพท์กับเดอะพับลิกโพสต์ พร้อมเปิดเผยว่า หากยังคงมีการคุกคามในลักษณะนี้อีกในอนาคต ตนจะพิจารณาดำเนินการผ่านช่องทางอื่นตามกฎหมาย
“ผมขอประกาศเลยว่าจะไม่ยอมให้เจ้าหน้าที่รังแกกลั่นแกล้งนักศึกษาไทยในอิหร่านเช่นนี้อีกต่อไป” ผู้นำมุสลิมชีอะห์ย้ำอย่างหนักแน่น
การรับฟังและท่าทีของคณะทำงานประธานสภาผู้แทนราษฎร
นายอารีเพ็ญ อุตรสินธุ์ กล่าวถึงซัยยิดสุไลมาน ฮูซัยนี ว่าเป็นบุคคลสำคัญในการประสานงานกรณีที่แรงงานไทยถูกจับกุมในต่างประเทศและมีบทบาทในการช่วยเหลือแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ พร้อมให้คำมั่นว่าจะนำเรื่องดังกล่าวกราบเรียนต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อส่งต่อให้คณะกรรมาธิการที่เกี่ยวข้องพิจารณาต่อไป
นายมุข สุไลมาน กล่าวเพิ่มเติมว่า กรณีเช่นนี้ไม่ควรเกิดขึ้น แต่หากเกิดขึ้นจริงจะต้องถือเป็นเรื่องที่น่ากังวลอย่างยิ่ง และเจ้าหน้าที่ที่มีพฤติกรรมในลักษณะนี้จะต้องถูกระงับการปฏิบัติหน้าที่ พร้อมเน้นย้ำว่าเจ้าหน้าที่ทุกคนควรปฏิบัติงานด้วยความเป็นธรรมเพื่อรักษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศให้คงอยู่
ความสำคัญของเหตุการณ์ต่อความสัมพันธ์ไทย–อิหร่าน
รายงานการร้องเรียนครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางความตึงเครียดระหว่างอิหร่านและอิสราเอลในภูมิภาคตะวันออกกลาง ซึ่งส่งผลให้ความละเอียดอ่อนทางการทูตในภูมิภาคเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ในบริบทนี้ เจ้าหน้าที่ไทยจึงควรปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นกลาง ปราศจากอคติ เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างไทยและอิหร่าน ซึ่งมีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์มายาวนาน การปฏิบัติหน้าที่ที่เคารพหลักสิทธิมนุษยชนและเป็นธรรมในกรณีนี้จะช่วยส่งเสริมเสถียรภาพในภูมิภาค และป้องกันไม่ให้เกิดความเข้าใจผิดที่อาจบั่นทอนความสัมพันธ์อันดีระหว่างสองประเทศ