มหาเถรสมาคม จุดพลุความขัดแย้ง โรงเรียนวัดห้ามคลุม ฮิญาบ

หาก ไม่นับกรณีจังหวัดชายแดนภาคใต้ กล่าวได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างศาสนาพุทธ-อิสลามในส่วนอื่นๆ ของประเทศไทยอยู่ในระนาบที่ดี ปัญหาความไม่เข้าใจระหว่างสองศาสนามักไม่ค่อยเกิดขึ้นเท่าใดนัก

แต่ แล้วใครจะไปนึกว่า ‘มหาเถรสมาคม’ ซึ่งเป็นองค์กรปกครองสูงสุดของคณะสงฆ์ในประเทศไทย กลับเป็นฝ่าย ‘จุดพลุแห่งความขัดแย้ง’ ระหว่างสองศาสนาให้บังเกิดขึ้น…

เมื่อที่ประชุมองค์กรแห่งนี้มีมติ ‘ห้าม’ ทั้งครูผู้สอนและนักเรียนหญิงมิให้คลุม‘ฮิญาบ’ ใน ‘โรงเรียนวัด’ ทั่วประเทศ!!

เหตุเกิดจากเมื่อปลายเดือนพฤศจิกายน 2553 นักเรียนหญิงมุสลิมประมาณ 17 คนที่เรียนอยู่ที่ ‘โรงเรียนมัธยมวัดหนองจอก’ เขตหนองจอก กรุงเทพฯ ได้ไปที่ร้องเรียนกับองค์กรมุสลิมหลายแห่งว่า โรงเรียนขัดขวางและไม่อนุญาตให้นักเรียนหญิงคลุมฮิญาบหรือแต่งกายตามศาสน บัญญัติในโรงเรียน

จนเมื่อ ‘กลุ่มมุสลิมเพื่อสันติ’ ซึ่งเป็นหนึ่งจากองค์กรเอกชนมุสลิมที่ได้รับการร้องเรียน ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบก็พบว่า กรณีนี้เป็นกรณีที่ ‘แตกต่าง’ จากหลายกรณีที่เคยมีการร้องเรียนผ่านมา??

เพราะโดยมาก กรณีก่อนหน้านี้ มักพบว่า ปัญหาเกิดจากความเข้าใจที่ ‘คลาดเคลื่อน’ ของเจ้าหน้าที่

เมื่อ ทำการชี้แจงเรื่องหลักการศาสนาเกี่ยวกับการคลุมฮิญาบ และข้อกฏหมาย ก็จะได้รับการตอบรับที่ดี พร้อมอำนวยความสะดวกแก่นักเรียน นักศึกษา มุสลิมในการปฏิบัติศาสนกิจมาโดยตลอด

แต่ในกรณีเกิดขึ้นที่ ‘โรงเรียนมัธยมวัดหนองจอก’ กลับเป็นเรื่องที่แตกต่าง!!

เพราะเมื่อทางนักเรียน และผู้ปกครองได้มีการดำเนินการส่งเอกสารชี้แจงเรื่องการคลุมฮิญาบกับทางคณะผู้บริหารโรงเรียนแล้ว

แต่…ไม่ได้รับการตอบรับจากทางโรงเรียน!!

นายฮานีฟ หยงสตาร์ ประธานคณะทำงานด้านกฏหมาย ‘กลุ่มมุสลิมเพื่อสันติ’ ที่ลงไปช่วยเหลือ เปิดเผยว่า

“เป็นปัญหาที่เกิดจากการแทรกแซงจากภายนอก”

เพราะ พบว่า มูลเหตุที่ทำให้ทางโรงเรียน ยังไม่ยอมอนุญาตให้นักเรียนหญิงคลุมฮิญาบไปเรียนได้ เนื่องจากถูกแทรกแซงจากทาง ‘วัด’ ซึ่งเป็นผู้อุทิศที่ดินในการก่อสร้างโรงเรียนดังกล่าว โดยไม่อนุญาตให้มีการคลุมฮิญาบในโรงเรียนได้ !!

กรณีพิพาทได้อยู่ใน กระแสการติดตามของมุสลิมทั่วประเทศ และลุกลามใหญ่โตนำไปสู่การร้องเรียนในระดับคณะอนุกรรมาธิการพระพุทธศาสนา คณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร

โดยกรรมการ อิสลามประจำกรุงเทพฯ นายเจริญ โต๊ะงิมา และกลุ่มมุสลิมเพื่อสันติ ได้ยื่นหนังสือขอให้นักเรียนหญิง 17 คน ที่เรียนอยู่ที่ ร.ร.มัธยมวัดหนองจอก แต่งกายตามหลักศาสนาอิสลามคลุมผ้าฮิญาบมาโรงเรียน โดยอ้างหลักศาสนาอิสลาม สิทธิตามรัฐธรรมนูญ และระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ

ซึ่ง คณะอนุกรรมาธิการพระพุทธศาสนา ได้ทำหนังสือเสนอ ‘มหาเถรสมาคม’ (มส.) เพื่อพิจารณาเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติระหว่างโรงเรียนวัดในพระพุทธศาสนากับ นักเรียนที่นับถือศาสนาอิสลามเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข

จาก การประชุมมหาเถรสมาคม (มส.) ซึ่งมีรายงานว่า ได้เชิญคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานประชุมพิจารณาเรื่องดังกล่าว เมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ได้มีมติ ‘เอกฉันท์’ ให้ ‘ยกคำขอ’ ของกรรมการอิสลามประจำกรุงเทพฯ และกลุ่มมุสลิมเพื่อสันติ !!

ส่วนกรณีที่เป็นครูได้มีการทำหนังสือหารือไปยังสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 2 ได้ข้อสรุปว่า
‘ไม่อนุญาต’ ให้ครูแต่งกายแสดงสัญลักษณ์ทางศาสนา
เนื่องจากการอ้างสิทธิตามรัฐ ธรรมนูญนั้น จะต้องยึดถือการปฏิบัติตามหน้าที่ของคนไทยตามรัฐธรรมนูญด้วย โดยการปฏิบัติตามหลักศาสนา ลัทธิทางศาสนา และความเชื่อของตน แต่จะต้องไม่กระทบต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีงาม ตลอดถึงไม่กระทบสิทธิของผู้อื่นด้วย

มส.ได้พิจารณาแล้วมีมติรับทราบตามแนวทางที่อนุกรรมาธิการพระพุทธศาสนาฯ เสนอ คือ

1.โรงเรียน หรือหน่วยราชการใดที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ของวัดหรือที่ธรณีสงฆ์ การใช้พื้นที่ต้องปฏิบัติตามขนบธรรมเนียม จารีตประเพณี วิถีไทยและวิถีพุทธ และกฎระเบียบของวัด

2.ให้คณะสงฆ์มีส่วนร่วมในการพิจารณาการแต่งตั้งผู้บริหารของโรงเรียน หรือหน่วยราชการ ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ของวัดหรือที่ธรณีสงฆ์

3.ควรให้พระสงฆ์ เข้าไปมีบทบาทในการกำหนดหลักสูตรการเรียนการสอนวิชาพระพุทธศาสนา หลักคุณธรรม จริยธรรมทุกระดับชั้น

4.โรงเรียน หรือหน่วยราชการใดขอใช้พื้นที่ของวัดหรือที่ธรณีสงฆ์ ต้องหารือและได้รับความยินยอมจากเจ้าอาวาส และคณะสงฆ์ผู้ปกครองทุกระดับจนถึงเจ้าคณะจังหวัดก่อน ทั้งนี้ ให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติแจ้งมติดังกล่าวและให้มีผลตั้งแต่บัดนี้ เป็นต้นไป

ผลจากมติของ ‘มหาเถรสมาคม’ ได้สร้างความไม่พอใจอย่างมากแก่มุสลิมที่รับรู้ข่าวนี้ อีกทั้งเชื่อว่า การตัดสินใจของคณะกรรมการบางคน ใช้ความอคติทางด้านลบในการตัดสินใจ !!

โดย เฉพาะเหตุผลบางข้อที่มหาเถรสมาคมใช้อ้างเพื่อไม่ให้คลุมฮิญาบนั้นไม่ สอดคล้องกับความเป็นจริง เพราะโดยหลักการศาสนา และข้อกฏหมายแล้ว โรงเรียนมีหน้าที่ต้องส่งเสริมให้นักเรียนปฏิบัติ และยึดมั่นในหลักการของศาสนา และฮิญาบก็เป็นหลักการหนึ่งในศาสนา และระเบียบการแต่งการของกระทรวงศึกษาธิการ ก็ได้ระบุชัดถึงการอนุญาติให้แต่งกาย คลุมฮิญาบตามหลักการศาสนาอิสลามได้ ทั้งรัฐธรรมนูญไทยก็ให้สิทธิในการปฏิบัติตามหลักการศาสนา ซึ่งไม่ได้กระทบสิทธิของบุคคลอื่น

ในความเป็นจริง กรณีคลุมฮิญาบตามหลักการศาสนาอิสลามนั้น ถือเป็นเรื่องละเอียดอ่อนอย่างมากสำหรับชาวมุสลิม ในอดีตหลายสิบปีก่อนเคยมีการประท้วงลุกลามใหญ่โตที่จังหวัดยะลาจากกรณีนี้ และส่วนหนึ่งของไฟใต้ที่โหมกระพือหนักก็เพราะรัฐไทยในอดีตได้ละเมิดสิทธิพึง มีพึงได้ของชาวมุสลิม

การ ที่องค์กรสูงสุดของ สงฆ์ในประเทศไทยออกมติเช่นนี้ จึงหมายเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นอกเสียจากว่า มหาเถระสมาคมยังไม่เข้าใจถึงสิทธิขั้นพื้นฐานของพลเมืองไทยตามกฎหมายและ รัฐธรรมนูญ

อีกทั้งมตินี้จะเป็นการปิดประตูสมานฉันท์ และเปิดประตูแห่งความขัดแย้งระหว่างศาสนาให้บังเกิดขึ้นอีกครั้งในสังคมไทย ที่จะไม่ได้จำกัดวงอยู่แค่พื้นที่หนองจอก แต่จะลุกลามไปทั่วประเทศ อย่างไม่เคยเกิดขึ้นมานานแล้ว!!

เอาเป็นว่า แม้กระทั่งกลุ่มขบวนการที่เคลื่อนไหวอยู่ที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ก็อาจใช้มติ ข้อนี้อ้างเป็นความชอบธรรมในการไล่ฆ่าพระ ฆ่าไทยพุทธได้ก็แล้วกัน

ดังนั้น การราดน้ำมันเข้ากองเพลิงของมหาเถรสมาคมครั้งนี้จะเผาบ้านเผาเมืองไปถึงขนาดไหน ไว้ติดตามอย่ากระพริบตา!!