เสม็ด วันนี้เป็นอย่างไร? อาหารทะเลปลอดภัยหรือเปล่า? ทรายขาวเหมือนเดิมไหม? นักท่องเที่ยวเชื่อมั่นแล้วแค่ไหน? น้ำทะเลใสหรือยัง? …..เหล่า นี้ล้วนเป็นคำถามที่หลายคนสงสัย หลังกรณีน้ำมันของบริษัท พีทีที โกลบอล เคมีคอล จำกัด (มหาชน) เกิดอุบัติเหตุรั่วไหลระหว่างการขนถ่ายทางทะเล เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2556 ผ่านมา และส่งผลกระทบต่อเกาะเสม็ดและบริเวณโดยรอบ โดยเฉพาะอ่าวพร้าวที่รับเข้าไปแบบเต็มๆ
ซึ่งในความเป็นจริง ตลอดระยะเวลากว่า 4 เดือนนับตั้งแต่ได้รับผล กระทบจากเหตุน้ำมันรั่วครั้งนี้ หลายฝ่ายไม่ว่าจะเป็นภาครัฐหรือเอกชนต่างได้ทุ่มความพยายามในการฟื้นฟูสภาพ ทางทะเลและระบบนิเวศ กระทั่งถึงวันนี้ หากนำคำถามข้างต้นไปถามทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ก็จะได้รับคำตอบและคำยืนยันว่า เสม็ดในวันนี้ได้กลับคืนสู่ภาวะปกติแล้ว
เสม็ดฟื้นแล้ว… ทว่าที่ขาดหายไปและยังเรียกกลับคืนมาไม่ได้ ก็คือความ “เชื่อมั่น” ของคนไทยที่ยังไม่เหมือนเดิม!!
แน่นอน ว่า ความเชื่อมั่นจะเกิดได้ต่อเมื่อมีข้อมูลที่เพียงพอ เพื่อการนี้ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) จึงได้นำคณะสื่อมวลชนจากส่วนกลางกว่า 30 ชีวิต ลงพื้นที่ร่วมพิสูจน์ หาดอ่าวพร้าว เกาะเสม็ด จังหวัดระยอง และระดมสมองเพื่อบูมท่องเที่ยวเสม็ดให้กลับมาคึกคักอีกหน โดยมี ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ หัวหน้าภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มาเป็นวิทยากรให้ความรู้และตอบข้อสงสัยแก่สื่อมวลชน
ทว่า เมื่อเดินทางถึงที่หมาย ภาพแรกที่เห็นกลับเป็นอ่าวพร้าวที่ชายหาดดูสวยงาม น้ำทะเลใส และเต็มไปด้วยชาวต่างชาติในชุดว่ายน้ำแหวกว่ายเล่นน้ำ เดินจูงมือริมหาดกันอย่างคึกคักด้วยสีหน้าแช่มชื่น ภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้ทุกคนไม่รู้สึกเลยว่า ณ ตรงนี้เคยมีร่องรอยของคราบน้ำมันมาก่อน บริเวณหาดมีโรงแรมตั้งอยู่ 2 -3 โรงแรม ที่ให้ความสะดวกสบาย บรรยากาศร่มรื่น เหมาะมากที่จะเป็นที่พักผ่อนนอนเล่นริมชายหาด สำหรับคนที่ชอบดูพระอาทิตย์ตก ซึ่งว่ากันว่าพระอาทิตย์ตกที่อ่าวพร้าวเป็นมุมที่สวยที่สุดของเกาะเสม็ด
คณะ สื่อมวลชนได้รับฟังการบรรยายสรุปกิจกรรมสำรวจหาดทราย หาดหิน และการดำน้ำสำรวจปะการังใกล้ๆ อ่าวพร้าว จาก ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ ที่เปิดเผยว่า ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะประมง ม.เกษตร ที่ได้เข้ามาศึกษาติดตามความเปลี่ยนแปลงจากผลกระทบของเหตุการณ์น้ำมันรั่ว ที่จังหวัดระยอง ตั้งแต่เริ่มเหตุการณ์จนถึงปัจจุบัน โดยได้วางกรอบการทำงานไว้เป็นระยะเวลา 1 ปี โดยมีคณาจารย์และนักวิจัยเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก การศึกษาเน้นงานการสำรวจคุณภาพน้ำ ดินตะกอน สิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศหาดทราย หาดหิน และแนวปะการัง ซึ่งถึงตอนนี้ยังไม่พบความผิดปรกติของแหล่งหญ้าทะเลและพื้นท้องทะเลแต่อย่าง ใดหลังการฟื้นตัวที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามทีมนักวิชาการก็จะยังทำการสำรวจต่อไป
“การ ทำงานในช่วงเวลา 3 เดือน ที่ผ่านมา ได้แบ่งพื้นที่ทำงานเป็น 3 ส่วน ได้แก่ บริเวณหน้าหาดแม่รำพึง อ่าวพร้าวและเกาะเสม็ด และอ่าวเพ ซึ่งยังคงสอดคล้องกับพื้นที่ศึกษาที่กำหนดไว้แต่เริ่ม โดยไม่พบว่ามีความผิดปรกติของระบบนิเวศที่ขยายตัวไปไกลกว่าพื้นที่ดังกล่าว” ดร.ธรณ์ กล่าว
ดร.ธรณ์ ยังได้นำคณะสื่อมวลชนดำน้ำพิสูจน์สภาพปะการังที่มีการฟอกขาวเพราะได้รับผล กระทบจากน้ำมัน ทำให้ได้เห็นและยืนยันได้ว่า ปัจจุบันปะการังมีสภาพที่ฟื้นตัวอย่างชัดเจน
หลัง กิจกรรมสำรวจอ่าวพร้าวผ่านไป คณะสื่อมวลชนได้เข้าร่วมกิจกรรมระดมสมองบูมท่องเที่ยว พร้อมชมธรรมชาติสวยงามที่หาดทรายแก้ว ซึ่งเป็นหาดที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวมากที่สุด จากลักษณะเด่นที่มีทรายขาวละเอียด น้ำทะเลใสมีสีครามเป็นที่ดึงดูดใจ เกือบตลอดความยาวของแนวชายหาดยังเต็มไปด้วยสีสันสดใสของโต๊ะผ้าใบ และร่มกันแดด เต็มไปด้วยร้านค้าแหล่งบันเทิงหย่อนใจเรียงรายอยู่เลียบชายหาด สลับกับภาพนักท่องเที่ยวทั้งชาวต่างชาติ และชาวไทย นั่งพักผ่อน เล่นน้ำทะเล และนอนอาบแดดกันเป็นที่คึกคัก
ใน งานนี้ นางโกสุม เมฆมงคลชัย ผู้จัดการฝ่ายกิจกรรมเพื่อสังคม บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้กล่าวกับสื่อมวลชนว่า “วันนี้หากไปเที่ยวเกาะเสม็ด จะเห็นว่าบริเวณชายหาดและหาดหินอยู่ในสภาพดี มีความสวยงาม มีสัตว์ทะเล อาทิ หอยเม่นทะลจิ๋ว หอยปูลมปลาตัวเล็กกลับมาอาศัยบริเวณชายหาดหาดหินซึ่งแสดงให้เห็นว่า ระบบนิเวศทางธรรมชาติกลับมาสมบูรณ์อีกครั้ง จึงมั่นใจว่า เกาะเสม็ดจะกลับมาคึกคักอีกครั้งแน่นอน”
นาง โกสุม ยังกล่าวอีกว่า “วันนี้ได้รับการยืนยันจากกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแล้วว่า อ่าวพร้าวและทุกหาดรอบเกาะเสม็ดโดยเฉพาะอ่าวพร้าวซึ่งถูกปิดพื้นที่ไป ตั้งแต่วันที่ 29 กรกฎาคมที่ผ่านมาเพราะพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด ปัจจุบันได้กลับคืนสู่ภาวะปกติ ค่าน้ำทะเลอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานเพื่อการนันทนาการทั้งหมดแล้วเช่นมีค่า TPH ต่ำกว่า 1 ไมโครกรัมต่อลิตร และมีค่าปรอทต่ำกว่า 0.1 ไมโครกรัมต่อลิตรเป็นต้น นักท่องเที่ยวจึงมั่นใจได้ว่าทุกหาดรอบเกาะเสม็ดสามารถไปท่องเที่ยวได้แล้ว”
“อย่างไร ก็ตามกลุ่มปตท.โดยพีทีจีซีจะยังดำเนินการฟื้นฟูระบบนิเวศอย่างต่อเนื่องไม่ ว่าจะเป็นโครงการเพาะเลี้ยงขยายพันธุ์ปะการังโครงการจัดวางปะการังเทียม เพื่อเป็นแหล่งท่องเที่ยวดำน้ำและฟื้นฟูสัตว์ทะเลในพื้นที่เกาะเสม็ดและอ่าว ระยอง เป็นต้น และจะมีการติดตามและประเมินผลกระทบของน้ำมันต่อระบบนิเวศทางทะเลและชายฝั่ง 7 ด้าน ได้แก่ด้านสมุทรศาสตร์แนวปะการังแหล่งหญ้าทะเลหาดหิน/หาดทราย ป่าชายเลนสัตว์ทะเลหายากและมลพิษต่อเนื่องไปอีก 1 ปี” ผู้จัดการฝ่ายกิจกรรมเพื่อสังคม บริษัท ปตท. กล่าว
ด้าน ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวา-สวัสดิ์ กล่าวตอนหนึ่งในการบรรยายสรุประบบนิเวศและสภาพแวดล้อมเกาะเสม็ดโดยรวมและ แนวทางการดำเนินการว่า “ปัญหาที่สำคัญที่สุด คือความไม่เชื่อมั่น ไม่เชื่อใจ ด้วยเหตุผลว่าเราไปเจาะตรงที่มีข้อมูล เคลือบแคลง ยกตัวอย่าง ครั้งแรกเล่นน้ำได้ สามวันต่อมาหลังเกิดเหตุการณ์ข้อมูลกรมควบคุมมลพิษบอกค่าสารปรอทเกิน 29 เท่า เล่นน้ำไม่ได้ สองวันต่อมา ครม.ออกมาไม่ยอมรับข้อมูลกรมควบคุมมลพิษ ถ้าลองคิดดู เราเป็นคนฟังเราจะเชื่อใคร”
“วิกฤติ ที่เกิดขึ้นมาจากการสื่อสารที่สับสน ความเชื่อมั่น จะเกิดได้ต่อเมื่อมีข้อมูลที่เพียงพอ สิ่งที่ทำได้คือนักวิชาการต้องทำการวิจัยที่ต่อเนื่อง ชัดเจนและยาวนาน”
“สำหรับ เกาะเสม็ดนั้น นักท่องเที่ยว 95 เปอร์เซ็นต์นิยมเที่ยวที่หาดและอ่าวอื่นๆ ซึ่งอ่าวเหล่านั้นไม่มีปัญหาใดๆ ส่วนอ่าวพร้าวเป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น ถ้าคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ จังหวัดระยอง 99 เปอร์เซ็นต์เล่นน้ำได้ 100 เปอร์เซ็นต์กินอาหารได้ ไม่มีปัญหา เหลือเปอร์เซ็นต์เดียวคือที่อ่าวพร้าว ที่รอกรมควบคุมมลพิษประกาศอย่างเป็นทางการ ซึ่งก็เพิ่งประกาศเปิดอ่าวอย่างเป็นทางการไปเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่าน มา เพราะฉะนั้นระยองวันนี้หาดทรายขาว น้ำทะเลใสกลับมาแล้ว สามารถกินปูกินปลาได้หมด” ผศ.ดร.ธรณ์ กล่าว
ผล สรุปจากการระดมสมองครั้งนี้คือ การเชิญชวนและสร้างความเชื่อมั่นแก่คนไทยทุกคนว่า วันนี้เสม็ดกลับมาสวยงามดังเดิมแล้ว ถึงเวลาที่ทุกคนจะได้หันกลับมามองอ่าวสวย ทรายขาว ของเกาะเสม็ดดังเดิม พร้อมเชิญชวนให้นักท่องเที่ยวได้กลับมาเยือนอีกครั้งในวันนี้