การเมือง ไทยในห้วงเดือนมี.ค. ดูเหมือนจะนิ่งไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรที่รุนแรงมากนัก เพราะม็อบคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย ให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) ต้องสโลว์ดาวน์ตัวเองไปอยู่ในสวนลุมพินี
ทาง หนึ่ง เพื่อเปิดช่องให้กลุ่มทุนสนับสนุนม็อบได้หายใจหายคอบ้าง หลังจากกลุ่มทุนเหล่านี้เริ่มเข้าขั้นวิกฤติ จากพิษชัตดาวน์ของกปปส.
ขณะ ที่อีกทางหนึ่ง เมื่อใช้กลยุทธ์ไล่ปิดสถานที่ราชการ ปิดกลุ่มทุนธุรกิจเครือข่ายตระกูลชินวัตร หวังให้พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และ “นายฯปู” น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยอมศิโรราบลาออกจากการรักษาการนายกรัฐมนตรี แต่ก็ยังไม่ได้ผล ไม่สามารถทำให้รัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ยอมสยบลงได้ จึงต้องสโลว์ดาวน์ตัวเองลงไป เพราะประเมินแล้วว่าแม้จะทั้งพยายามกดดันอย่างไร กองทัพก็ยังไม่สามารถเปิดหน้าออกมายืนเคียงข้างม็อบกปปส.ได้เต็มตัว มีเพียงการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์
พัก ยกด้วยการตั้งวงสัมนา“ปฏิรูปประเทศ” ใน 6 หัวข้อ เป็นการ“เลี้ยงไข้”ไว้เป็นเชื้อ เพื่อเปิดทางให้เหล่าองค์กรอิสระ องค์กรตามรัฐธรรมนูญ ออกมาเป็นตัวเอกเล่นบทนำ ไล่ทุบไล่สอยรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ และเครือข่าย ประกอบฉากการสร้างสถานการณ์ของ“กลุ่มกองกำลังที่ทราบฝ่าย” ยิงเอ็ม 79 วางระเบิดข่มขู่หน่วยงานด้านกระบวนการยุติธรรม ทั้งศาลอาญา องค์กรอิสระ บ้านบุคคลสำคัญ
เมื่อ ทางลัดที่จะนำไปสู่การปฏิรูปประเทศตามแนวทางที่ “กลุ่มแบ็กอัพ กปปส.”วางไว้ ยังมองไม่เห็นผลสำเร็จไดในเร็ววัน ก็ต้องหันยืมมือองค์กรอิสระ เร่งเครื่องตัดสินคดีความเพื่อให้“นายกฯปู” พ้นจากวงจรอำนาจไปให้ได้ เพื่อเปิดทางให้มี“นายกรัฐมนตรีมาตรา 7” ขึ้นมาบริหารงาน“เว้รวรรคระบอบประชาธิปไตย” ที่เป็นเครื่องมือสำคัญให้เครือข่ายนายใหญ่ขึ้นมากุมอำนาจรัฐในทุกวันนี้
หลายๆ คดีจึงเร่งเครื่องกันแบบผิดปกติ เพื่อให้เข้ากับทฤษฏี“มะม่วงหล่น” ของนายธีรยุทธ บุญมี ผู้อำนวยการสถาบันสัญญาธรรมศักดิ์เพื่อประชาธิปไตย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มือวางกลยุทธ์ของฝ่ายอำมาตย์ โดยหยิบยกข้ออ้างว่า ต้องปฏิรูปประเทศล้างเครือข่ายทักษิณออกไปจากสารบบการเมืองไทยเสียก่อน จึงจะปล่อยให้ประชาธิปไตยกลับมาเดินตามระบอบต่อไป
วัน นี้จากทฤษฏีรอให้มะม่วงหล่น ที่จะต้องใช้เวลารอคอยยาวนาน ก็ต้องฉีดสารเร่งปฏิกิริยา เพื่อให้มะม่วงสุกก่อนเวลาอันควร การเร่งรัดคดีเพื่อเอาผิดกับคนกลุ่มเดียว หวังให้เข้าง่ามตามทฤษฎีที่ตัวเองวางไว้ มันจึงทำให้สถานการณ์การเมืองเริ่มกลับมาตึงเครียดอีกครั้ง
โดย เฉพาะกับการที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) เร่งเครื่องฟัน นายนิคม ไวยรัชพานิช ประธานวุฒิสภา ในฐานะรองประธานรัฐสภา ที่ขณะนี้ต้องนั่งรักษาการประธานรัฐสภา โดยมีมติเอกฉันท์ ว่านายนิคมมีความผิดกรณีปิดโอกาสไม่ให้สมาชิกรัฐสภา ที่แปรญัตติในร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญประเด็นที่มาส.ว. ได้อภิปราย ทั้งที่ในความเป็นจริง ซึ่งสามารถตรวจสอบได้จากบันทึกการประชุม ได้เปิดโอกาสให้มีการอภิปรายไปแล้วนับสิบคน แต่มีการเล่นเกมตีรวนกันในสภา
แต่ ป.ป.ช.ก็ไม่สนใจ ที่จะสอบสวนหลักฐานเหล่านี้ ทั้งที่ฝ่ายผู้ถูกร้อง ร้องขอให้มีการสอบพยานเพิ่มเติม เพราะอย่างว่าหากจะรอให้เข้าตามทฤษฎอย่างเป็นธรรมชาติ จะต้องใช้ความอดทนที่ยาวนาน คือรอให้ผลไม้หล่นมาเอง แต่ดูแล้วเป็นการเรียกร้องที่เกินขีดความสามารถของมนุษย์ ที่จะอดทนรอได้
จึง ทำให้สถานการณ์การเมืองเริ่มขยับเข้าสู่ภาวะ“การเมืองเข้มข้นขึ้นทุกที” กางปฏิทินไปถึงเดือน เม.ย. การเมืองไทยจะเริ่มเข้าสู่ภาวะสุญญากาศ ที่คอการเมืองห้ามกระพริบตาเป็นอันขาด เพราะกลไกที่จะชี้เป็นชี้ตาย หนีไม่พ้นองค์กรอิสระ คดีสำคัญๆ อย่างการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่มา ส.ว. ก็บรรลุผลออกมาแล้ว คิวต่อไปก็สอย ส.ส.และ ส.ว. 308 คน คดีความที่“นายกฯปู”จะต้องเจออีกสารพัด ทั้ง โครงการรับจำนำข้าว ที่ป.ป.ช.เงื้อดาบรอฟันอยู่ ซึ่งจะทำให้น.ส.ยิ่งลักษณ์ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่
โดย เฉพาะที่ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยให้การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 ก.พ. เป็นโมฆะ ตามคำร้องที่นายกิตติพงศ์ กมลธรรมวงศ์ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร้องผ่านผู้ตรวจการแผ่นดิน โดยยกข้ออ้างว่า การเลือกตั้งในวันดังกล่าวไม่สามารถเปิดรับสมัคร ส.ส.ได้ครบทุกเขต ยังขาดอีก 28 เขต หากมีการจัดการเลือกตั้งใหม่เท่ากับมีการประกาศให้มีการเลือกตั้ง 2 วัน ขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 108 ที่กำหนดให้วันเลือกตั้งต้องกระทำในวันเดียว
นี่คือ“ไทม์ไลน์” ลำดับคดีการเมืองสำคัญๆ ที่จะปั่นสถานการณ์การเมืองให้ร้อนระอุ ประเทศเกิดสุญญากาศ เดินหน้าเข้าสู่นายกฯม.7
แน่นอน ว่าฟากฝ่ายนายใหญ่ ไม่มีทางยอมตกเป็นเป้านิ่งได้ เมื่ออำนาจรัฐที่อยู่ในมือมีอันกระเด็นหลุดลอยไป จึงต้องปรับกระบวนการต่อสู้ เพิ่มอำนาจต่อรองกับกลุ่มคุมเกมประเทศไทย ด้วยการปรับยุทธศาสตร์การต่อสู้ของกลุ่มนปช. เปลี่ยนตัวประธานนปช. จากนางธิดา ถาวรเศรษฐ์ มาเป็นนายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำสายฮาร์ดคอกลุ่มเสื้อแดง
นับ ตั้งแต่ก้าวขึ้นมารับบทนำคนเสื้อแดง “ตู่”จตุพร ก็ส่งสัญญาณท้ารบไปถึง “บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ในทันที กลายเป็นศึก 2 ตู่ที่พร้อมจะห้ำหั่นกันได้ทุกที่เมื่อถึงเวลา เมื่อเสื้อแดงปรับโหมดเข้าสู่ยุทธศาสตร์พร้อมรบเต็มที่ รอเพียงสัญญาณพิเศษ
ทาง ฝ่ายกองทัพเองก็ปรับแถวกำลังพลกันใหม่ ด้วยการเสริมสายฮาร์ดคอร์ปราบแดง อย่าง “ผบ.พล.แดง”พล.ต.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ จากผบ.จทบ.เพชรบุรี กลับเข้าเมืองมานั่งคุมกองพลที่ 1 รักษาพระองค์(พล.1 รอ.) หน่วยกำลังหลักคุมการปฏิวัติในกรุง หรือการขยับพล.ท.พิสิทธิ์ สิทธิสาร ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษกองทัพบก อดีตผบ.พล.ร.2 รอ. สายบูรพาพยัคฆ์ ขึ้นมาเป็นแม่ทัพน้อยที่ 1 นอกจากนั้นยังปรับกำลังหลักอีกหลายตำแหน่ง โดยให้นายทหารในสายบูรพาพยัคฆ์ นั่งคุมกำลัง ตามบัญชาการของ“บิ๊กตู่”
เมื่อ ผนวกกับการวางกำลังรบระดับ ผู้การกรม และผบ.พัน ทั่วประเทศมาก่อนหน้านี้ เท่ากับกองทัพก็พร้อมเปิดศึกกับฝ่ายตรงข้ามเต็มที่เช่นกัน
ดัง นั้นวงเจรจาที่พยายามเดินเครื่องกันอยู่หลายวง ไม่ว่าจะบนดินอย่างกลุ่ม 6 องค์กรตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งช่วงตั้งวงขึ้นมาก็รู้สึกจะมีสัญญาณในเชิงบวก แต่กระแสกลับแผ่วหายไปตามกาลเวลา แนวร่วมทยอยถอนตัวกันเป็นแถว เริ่มจาก สำนักงานอัยการสูงสุด ตามมาด้วย ป.ป.ช. ผู้ตรวจการแผ่นดิน จะเหลือก็เพียง “กกต.จอมเฟซ”นายสมชัย ศรีสุทธิยากร ที่ยังสับสนกับบทบาทของตัวเองอยู่
หรือ วงเจรจาในทางลับ ที่มีหลายระดับ ตั้งแต่วงของ “บิ๊กฮวบ”พล.อ.นิพนธ์ ภารัญนิตย์ อดีตผช.ผบ.ทบ. พี่ใหญ่สายทหารเสือราชินี และกลุ่มบูรพาพยัคฆ์ตัวจริง รวมไปถึงวงของนายวิษณุ เครืองาม แต่จนถึงวันนี้สัญญาณที่ออกมายังไม่เป็นบวก
จึง เชื่อได้ว่าความหวังของคนไทยทั้งชาติ ที่อยากให้ปัญหาวิกฤติประเทศ จบลงที่การเจรจา ก็คงต้องชัตดาวน์ไปก่อน รอสัญญาณการรบแตกหักจาก 2 ขั้ว ที่มีทั้งพรรคการเมืองเดินเกมอยู่เบื้องหน้า มีแนวร่วมมวลชน และกองกำลังที่ทราบฝ่ายสนับสนุนอยู่ข้างหลัง
ภาพ ที่ทุกคนไม่อยากเห็น แต่จิตใต้สำนึกแห่งความซาดิสซม์ที่ฝังอยู่ในจิตใจกองเชียร์ของ 2 ฝ่าย เราคงหนีไม่พ้นที่จะเห็นภาพเลือดนองแผ่นดิน แล้วจึงมาตั้งโต๊ะเจรจากันอีกครั้ง…???