เป็นยุทธศาสตร์การจัดระเบียบประเทศไทยใหม่ ของฝ่ายคุมเกมอำนาจ หลัง “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ตัดสินใจยึดอำนาจการบริหารประเทศของรัฐบาลรักษาการ ด้วยข้ออ้างสวยหรู “เพื่อปฏิรูปประเทศ และป้องกันไม่ให้เกิดการปะทะกันของมวลชน 2 ฝ่าย”
พล.อ.ประยุทธ์ จึงแปลงสภาพจาก ผบ.ทบ. มาสวมบทหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มีการออกคำสั่งรวมถึงประกาศฉบับต่างๆ เกินกว่า 100 ฉบับไปแล้ว
มี การยกเลิกรัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2550 แล้วใช้อำนาจของ คสช. ประกาศเรียกบุคคลกลุ่มต่างๆ เข้าไปรายงานตัว กำชับ ป้องปราม อย่าสร้างความขัดแย้ง โดยเฉพาะในฟากฝ่ายกลุ่มคนเสื้อแดงและแกนนำพรรคเพื่อไทย ถูกเรียกเข้ารายงานตัวจนแทบจะครบทั้งเครือข่าย
พร้อม กันนั้นก็ถือโอกาสจัดระเบียบข้าราชการตั้งแต่บนลงล่าง มีการออกคำสั่งให้ข้าราชการระดับปลัดกระทรวงหรือเทียบเท่า ที่มองว่าเป็นเครือข่าย พ.ต.ท.ทักษิณ เข้ากรุ แล้วส่งคนที่ตัวเองไว้ใจไปวางในตำแหน่งสำคัญๆ มีจัดการตั้งคณะกรรมการชุดต่างๆ ขึ้นมารองรับการบริหารประเทศแทนคณะรัฐมนตรี สะสางบอร์ดในรัฐวิสาหกิจใหญ่ๆ เช่น การบินไทย การรถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.) ปตท.
ซึ่ง เป็นไปตามโรดแม็ปของคสช. ที่วางเอาไว้เป็น 3 ระยะ ประกอบไปด้วย ระยะแรก การสร้างความปรองดอง ระยะที่สอง การวางกฎเกณฑ์ในการปฏิรูประเทศ และระยะที่สาม ระยะสุดท้ายคือคายอำนาจคืนสู่ประชาชน จัดการเลือกตั้ง ตามกฎเกณฑ์ที่ฝ่ายคุมเกมอำนาจประเทศไทยวางไว้ทั้งหมด
การ ปฏิวัติรัฐประหารในนามของ คสช.ครั้งนี้ มีการวางงานกันมาเป็นขั้นตอน เมื่อภาพของความขัดแย้งในกลุ่มก๊วนการเมืองฝ่ายต่างๆ ไม่สามารถตกลงกันได้ จึงกลายเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุด ที่กองทัพจะออกมารับบทซุปเปอร์ฮีโร่ หย่าศึกความขัดแย้ง จัดระเบียบประเทศใหม่
ถือ เป็นการสานต่องานเดิมจากคราวปฏิวัติยึดอำนาจการบริหารประเทศ โดยรัฐบาลพ.ต. ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ในปี 2549 ที่ “บิ๊กบัง” พล.อ.สนธิ บุณยรัตกลิน ผบ.ทบ.ในขณะนั้น ต้องตกกระไดพลอยโจน เป็นหัวหอก ในฐานะหัวหน้า คมช. หรือคณะรักษาความมั่นคงแห่งชาติ ไล่ล่าไล่ล้างทลายห้างระบอบทักษิณ จนต้องหนีหัวซุกหัวซุนอยู่นอกประเทศ ที่จนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะได้กลับมายังแผ่นดินเกิด
คราว นั้นประชาชนกลุ่มถล่มต้านระบอบทักษิณ ต่างโห่ร้องดีใจพากันไปถ่ายรูปกับรถถัง มอบดอกกุหลาบให้ทหาร แต่เมื่อการรัฐประหารในปี 49 ไม่เบ็ดเสร็จเด็ดขาด เพราะความหน่อมแน้มของเครือข่ายอำมาตย์ มันจึงกลายมาเป็นเชื้อของความขัดแย้ง จนทำให้บ้านเมืองแตกแยกอย่างที่เห็น จนสุดท้ายก็ต้องใช้ยาแรง เพิ่มตัวยาและปริมาณความเข้มข้นขึ้น
อย่าง ที่บอกการรัฐประหารครั้งนี้มีการวางงานเป็นขั้นตอน จึงมีการศึกษาจุดอ่อน ของการรัฐประหารเมื่อปี 49 “บิ๊กตู่” จึงใช้บทเฮี๊ยบจัดการแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด คสช.ภายใต้การนำของ“บิ๊กตู่” ใช้บทเรียนความผิดพลาดและความล้มเหลวในอดีตมาเป็นบทเรียน ดังนั้นเราจึงได้เห็นการทยอยออกมาตรการ ในรูปของคำสั่งและประกาศฉบับต่างๆ แบบแก้ปัญหาหน้างาน
มี การกระจายบทบาทไปยังขุมข่ายกองทัพ อาทิ ในด้านเศรษฐกิจ ซึ่งถือเป็นหัวใจหลักที่คสช.จะใช้โชว์ผลงาน และซื้อใจชาวบ้านไม่ให้ออกมาต่อต้าน จึงมอบบทบาททางด้านนี้ให้กับ “บิ๊กจิน” พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง ผบ.ทอ. รองหัวหน้าคสช. เป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ แต่ “บิ๊กตู่” ยังคงกำกับอยู่เบื้องหลัง เพราะส่ง “บิ๊กนมชง” พล.อ.ฉัตรชัย สาลิกัลยะ ผช.ผบ.ทบ. เพื่อนร่วมรุ่นเตรียมทหาร 12 มาประกบติด ในฐานะรองหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ
จาก เดิมที่สังคมไทยส่วนหนึ่งเบื่อหน่ายกับนโยบายประชานิยม การตลาดนำการเมืองของระบอบทักษิณ แต่มาวันนี้มาตรการต่างๆของคสช. กลับออกมาเบิ้ลทบต้นทบดอก ไม่ว่าจะเป็นการเร่งจ่ายเงินคืนชาวนา ในโครงการรับจำนำข้าว อย่างกับเสกได้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้รัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พยายามกู้เงินจากธนาคารต่างๆ มาใช้หนี้ชาวนา กลับไม่มีธนาคารแห่งไหนยอมปล่อยกู้ซักรายเดียว แต่ทันทีที่คสช.ยึดอำนาจ ก็จ่ายเงินให้ชาวนาจนครบ ในเวลาไม่ถึง 2 สัปดาห์ รวมกว่า 92,000 ล้านบาท หรือจะเป็นการเดินหน้าอภิมหาโครงการเมกกะโปรเจกต์ อย่างโครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท
โครงการ วางโครงสร้างประเทศด้านการคมนาคม 2 ล้านล้านบาท ก็เบิ้ลขึ้นไปเป็นวงเงิน 3 ล้านล้านบาท หรือการจัดฉายหนังตำนานสมเด็จพระนเรศวร ให้ชาวบ้านชมฟรี รวมไปถึงอีกหลากหลายประชานิยม ทั้งการจัดการกับปัญหาพลังงาน ด้วยการตั้งกรรมการกำกับนโยบายพลังงาน ยกเลิกอภิสิทธิ์ต่างๆของบอร์ดรัฐวิสาหกิจ จัดการให้ประชาชนได้ดูบอลโลกผ่านฟรีทีวี ด้วยการเปิดโต๊ะเจรากับบริษัทอาร์เอส เจ้าของลิขสิทธิ์ฟุตบอลโลก
ทั้งหมด ทั้งมวลก็หวังจะซื้อใจประชาชน ลดการต่อต้าน ขณะเดียวกันยุทธศาสตร์ด้านการเมือง คสช.ก็จัดตั้งศูนย์ปรองดองสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูป (ศปป.) โดยมอบหมายภารกิจให้ “บิ๊กลมโชย” พล.ท.กัมปนาท รุดดิษฐ์ รองเสธ.ทบ. เป็นผอ.ศูนย์ปรองดอง จัดทำโรดแม็ปปรองดองสลายความขัดแย้งในสังคม ให้ทุกฝ่ายเข้ามาร่วมมือกันในการแก้ไขปัญหา ฟื้นฟู เดินหน้าประเทศ เพื่อเตรียมการเข้าไปมีส่วนร่วมในการปฏิรูป ปูทางไปสู่การเลือกตั้งที่บริสุทธิ์ ยุติธรรม โดยศูนย์ดังกล่าวที่มีทั้งศูนย์กลาง และศูนย์ประจำพื้นที่กองทัพภาคที่ 1-4 ซึ่งคสช.จะใช้เป็นกลไกสำคัญในการเริ่มปฏิบัติการ “สลายสีเสื้อ” โดยพยายามเปิดเวทีให้ทุกภาคส่วน รวมถึงคู่ขัดแย้งได้มีส่วนร่วมมากที่สุด
ทั้งหมดนี้ทำอยู่ภายใต้ สโลแกน “คืนความสุขให้กับคนไทยทั้งประเทศ”!!!
ขั้น ตอนต่อไปคือการแต่งตั้ง สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) เพื่อนำไปสู่การแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี ตั้งคณะรัฐมนตรี จากนั้นจึงถึงคิวการจัดตั้งสมาชิกสภาปฏิรูป จัดทำร่างรัฐธรรมนูญ วางกฎกติกาประเทศกันใหม่ ในระยะเวลาไม่เกิน 2 ปี
ก้าว ย่างของ คสช.จากนี้ไปจะถูกจับตาจากคนไทยและนานาชาติ เพราะหากก้าวพลาดจากยุทธศาสตร์ที่วางไว้ ก็อาจเจอกับสึนามิการเมืองลูกใหญ่ ถล่มใส่เอาได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับหน้าตา สนช.ที่จะออกมา การจัดวางตัวบุคคลเข้ามาเป็นรัฐมนตรี ร่วมครม.ชุดประวัติศาสตร์อีกหน้าหนึ่งของประเทศไทย รวมไปถึงการวางกติกาไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว
จึง ถือว่าน่าติดตามเป็นอย่างยิ่งว่า “บิ๊กตู่” ในฐานะหัวเรือใหญ่ จะนำพาฝีพายนำรัฐนาวาลำใหม่นี้ ให้รอดพ้นจากมรสุมด้วยวิธีการใด และอย่างไร
เพราะ แนวทางที่ คสช.ทำอยู่นั้น ไม่สามารถประเมินได้ในช่วงเวลาสั้นๆ คงต้องใช้เวลา และหาก คสช.ยังใช้ยุทธวิธีไล่ล่าฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่ลดละ ย่อมทำให้ผู้ถูกล่า รอเวลากลับมาเช็คบิลเอาคืน นี่คือโจทย์ใหญ่ที่ “บิ๊กตู่” และคณะ ต้องตอบโจทย์ให้ได้
และ อย่าลืมว่าปัจจัยแทรกซ้อนยังรออยู่เพียบ โดยเฉพาะกับการป้องกันเหลือบ ริ้น ไร ไม่ให้เข้ามาแทะเล็มเงินงบประมาณได้ เพราะต้องยอมรับว่าที่ประชาชนเขารับได้และไม่ออกมาต่อต้าน ก็เพราะต้องการให้ “บิ๊กตู่” และคณะ จัดการสังคายนาการทุจริตในโครงการต่างๆ ซึ่งทุกคนมองว่า คณะรัฐประหารชุดคสช. วางมาตรฐานในจุดนี้เอาไว้สูง หากมีกลิ่นไม่ดีเมื่อไหร่ รับรองว่างานนี้จบไม่สวย
หรือ การให้ความเป็นธรรมกับกลุ่มก้อนต่างๆ การจัดการกับกลุ่มฮาร์ดคอร์ของแต่ละกลุ่ม หากเกิดภาพชัดเจนว่า ไล่ล่าอีกฝ่าย แต่ตอบแทนผลงานให้อีกฝ่าย โดยเฉพาะในตำแหน่ง สนช. ครม. และสภาปฏิรูปเพื่อการปรองดอง ก็รับรองว่าหนทางเดินต่อไปของคสช. ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบแน่
นี่ ยังไม่นับรวมถึงการจัดระเบียบอำนาจในกองทัพ ที่ “บิ๊กตู่” ต้องทำให้นิ่งที่สุด เพื่อเป็นฐานอำนาจของรัฐบาลชุดที่เตรียมจะตั้งขึ้น ซึ่งมีโอกาสที่ “บิ๊กตู่” จะนั่งเป็นนายกรัฐมนตรีเอง แล้วต่ออายุบนเก้าอี้ผบ.ทบ. ไปด้วย เพื่อสยบแรงกระเพื่อม ไร้อาการรักพี่เสียดายน้อง ระหว่าง “บิ๊กโด่ง” พล.อ.อุดมเดช สีตะบุตร รองผบ.ทบ. ที่รับบทบาทเป็น เลขานุการคสช. กับ “บิ๊กต็อก” พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา ผช.ผบ.ทบ. ที่ได้รับบทบาทสำคัญๆ และเป็นตัวเดินเกมทั้งบนดินและใต้ดิน ลดแรงคลื่นใต้น้ำให้กับ “บิ๊กตู่” ซึ่งทั้งคู่ถูกจับตามองว่าเป็นแคนดิเดตชิงตำแหน่งผบ.ทบ.คนต่อไป
จึงถือเป็นความท้าทายอย่างยิ่งสำหรับ “บิ๊กตู่” หัวหน้าคสช.!!!