ฮิซบุลเลาะห์ไร้ซีเรีย: ฝ่าวิกฤตเส้นทางลำเลียงยุทธปัจจัยที่ถูกปิดตาย

ฮิซบุลเลาะห์ได้รับผลกระทบรุนแรงจากการสูญเสียเส้นทางลำเลียงยุทธปัจจัยผ่านซีเรีย รวมถึงความเสียหายครั้งใหญ่ในสนามรบ อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการปรับตัวของกลุ่ม – ผ่านการผลิตอาวุธในท้องถิ่น การลดขนาดปฏิบัติการ และการใช้เครือข่ายตลาดมืด – จะช่วยให้กลุ่มรอดพ้นวิกฤตและเริ่มต้นเส้นทางฟื้นตัว ท่ามกลางการปิดฉากปีที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน

ภาพ The Cradle

นับตั้งแต่ความเสียหายหนักหน่วงในเดือนกันยายน ฮิซบุลเลาะห์ต้องเผชิญบททดสอบที่ยากลำบากที่สุดเกี่ยวกับความแข็งแกร่งและการฟื้นตัว การสูญเสียในครั้งนี้รุนแรงอย่างยิ่ง – ทั้งผู้นำสำคัญ สมาชิกระดับแกนนำ และนักรบจำนวนมากต่างล้มตาย – แต่ความเสียหายไม่ได้จำกัดอยู่เพียงด้านกำลังคนเท่านั้น

คลังอาวุธขนาดใหญ่ของฮิซบุลเลาะห์ ตั้งแต่ยุทโธปกรณ์เบาไปจนถึงอาวุธหนัก ถูกโจมตีและทำลายลงในสัดส่วนที่สำคัญ ส่งผลให้กลุ่มต้องเร่งฟื้นฟูศักยภาพทางการทหารอย่างเร่งด่วน โดยร่วมมือกับพันธมิตรในแกนต่อต้าน (Axis of Resistance) เพื่อรักษาขีดความสามารถในการต่อสู้

ขณะเสียงปืนในเลบานอนเงียบลงชั่วคราวด้วยข้อตกลงหยุดยิง ความขัดแย้งได้แปรเปลี่ยนไปสู่มิติใหม่ในประเทศเพื่อนบ้านอย่างซีเรีย กลุ่มติดอาวุธที่นำโดยฮายัต ตาห์รีร์ อัล-ชาม (HTS) ซึ่งเดิมคือกลุ่มแนวร่วมอัล-นุสรา เปิดฉากโจมตีอย่างรวดเร็วและเป็นระบบ ยึดเมืองสำคัญได้ทีละเมือง จนนำไปสู่การล่มสลายของกรุงดามัสกัส

ความเร็วในการรุกคืบของพวกเขานำไปสู่การล่มสลายของรัฐบาลบาชาร์ อัล-อัสซาดภายในระยะเวลาเพียง 11 วัน รัฐบาลของอัสซาดถือเป็นพันธมิตรสำคัญของฮิซบุลเลาะห์ และเป็นช่องทางการขนส่งที่สำคัญสำหรับการถ่ายโอนอาวุธและนักรบจากอิหร่าน การล่มสลายนี้จึงเท่ากับการตัดขาดเส้นเลือดหลักที่เคยหล่อเลี้ยงปฏิบัติการทางทหารของฮิซบุลเลาะห์มาอย่างยาวนาน

ฮิซบุลเลาะห์สูญเสียเส้นทางลำเลียงอาวุธในซีเรีย

ในขณะเดียวกัน อิสราเอลได้เพิ่มการโจมตีทางอากาศอย่างเข้มข้น โดยถล่มด้วยความแม่นยำหลายร้อยครั้งทั่วซีเรีย การโจมตีเหล่านี้ไม่ได้พุ่งเป้าเพียงแค่คลังอาวุธยุทธศาสตร์ของกองทัพซีเรียเท่านั้น แต่ยังรวมถึงคลังสินค้าที่ฮิซบุลเลาะห์และพันธมิตรใช้เป็นสถานที่เก็บสำรองอาวุธด้วย

เลขาธิการฮิซบุลเลาะห์ “เชคนาอีม กอเซ็ม” ได้ยืนยันเมื่อวันเสาร์ (14 ธ.ค.) ว่า เส้นทางลำเลียงอาวุธผ่านซีเรียได้ถูกตัดขาดแล้ว

“ใช่ ฮิซบุลเลาะห์ได้สูญเสียเส้นทางลำเลียงอาวุธผ่านซีเรียในช่วงนี้ แต่การสูญเสียครั้งนี้เป็นเพียงรายละเอียดเล็หกๆ น้อยๆ ในงานของแนวร่วมต้าน” เชคกอเซ็มกล่าว พร้อมเสริมว่า “อาจมีระบอบการปกครองใหม่เกิดขึ้น และเส้นทางนี้อาจกลับมาใช้ได้ตามปกติ หรือเราก็อาจค้นหาเส้นทางอื่นทดแทนได้”

สถานการณ์ที่ซับซ้อนนี้ก่อให้เกิดคำถามสำคัญ: ฮิซบุลเลาะห์จะสามารถเอาชนะผลกระทบจากการสูญเสียเส้นทางลำเลียงที่สำคัญที่สุดนี้ได้หรือไม่? กลยุทธ์ใดที่อาจช่วยให้กลุ่มปรับตัวเข้ากับความจริงใหม่นี้? และมีเส้นทางอื่นใดที่สามารถฟื้นฟูศักยภาพของกลุ่มได้หรือไม่?

บทบาทของการผลิตในประเทศ

ความสามารถของฮิซบุลเลาะห์ในการฟื้นตัวจากวิกฤตในอดีต ส่วนใหญ่อาศัยความมุ่งเน้นไปที่การผลิตในประเทศ โดยเฉพาะขีปนาวุธและโดรน ตลอดหลายปีที่ผ่านมา กลุ่มแนวร่วมต่อต้านได้พัฒนาระบบอาวุธในประเทศอย่างต่อเนื่อง ผสมผสานความคิดสร้างสรรค์เข้ากับทรัพยากรที่มีจำกัด

เครื่องยิงขีปนาวุธจำนวนมากที่ถูกทำลายในปฏิบัติการโจมตีล่าสุด เป็นผลงานการผลิตในประเทศ รวมถึงระบบยิงจรวดแบบถล่มเป้าหมาย เช่น “ฟาดี” (Fadi)

ในด้านขีปนาวุธที่มีความแม่นยำ ระบบอาวุธอย่าง “นัศร์ 1” (Nasr 1) และ “กอดัร 2” (Qader 2) ดูเหมือนจะเป็นรุ่นที่ได้รับการปรับปรุงจากแบบเดิม เช่น “เซลซาล” (Zelzal) และ “ไคบาร์” (Khaybar) ซึ่งมาพร้อมระบบนำวิถีที่ได้รับการอัปเกรด ขณะที่ส่วนประกอบทางกายภาพ เช่น ตัวจรวด หัวรบ และเชื้อเพลิง ถูกผลิตขึ้นในประเทศ ส่วนชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่มีความสำคัญ แม้มีขนาดเล็กและลำเลียงได้อย่างไม่เป็นจุดสังเกต แต่ก็อาจถูกลักลอบนำเข้ามาหรือประกอบขึ้นโดยใช้วัสดุระดับพลเรือน

เช่นเดียวกันกับโดรน ระบบอาวุธอย่าง “อบาบิล 2-T” (Ababil 2-T) และ “ชาเฮด 101” (Shahed 101) มีความโดดเด่นเพราะการออกแบบที่อาศัยเทคโนโลยีพลเรือนเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นเครื่องยนต์ อุปกรณ์ภาพถ่าย และระบบนำวิถีพื้นฐาน ก่อนจะปรับแต่งหัวรบให้ตอบสนองต่อภารกิจเฉพาะ

แม้ว่าความเชี่ยวชาญในการผลิตอาวุธยังคงอยู่ไม่ถูกทำลาย แต่สิ่งที่ไม่แน่นอนคือ ขอบเขตที่ฮิซบุลเลาะห์จะสามารถฟื้นฟูกำลังการผลิตได้ภายใต้แรงกดดันในปัจจุบัน โดยเฉพาะความยากลำบากในการจัดหาชิ้นส่วนพิเศษ เช่น เซนเซอร์ตรวจจับความร้อน หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่มีคุณสมบัติทางการทหาร

ปรับกลยุทธ์: ลดขนาดและกำหนดลำดับความสำคัญใหม่

ท่ามกลางความท้าทายด้านลอจิสติกส์และทรัพยากรที่ลดน้อยลง ฮิซบุลเลาะห์อาจต้องเปลี่ยนจากกลยุทธ์เชิงรุกไปสู่การตั้งรับมากขึ้น เดิมที กลุ่มนี้มีกองกำลังสองประเภทที่แยกจากกันในพื้นที่ตอนใต้ของเลบานอน ได้แก่ หน่วยป้องกันภูมิศาสตร์ เช่น หน่วยนัศร์ (Nasr) และอาซิซ (Aziz) ซึ่งมีหน้าที่ปกป้องพื้นที่ และกองพลรัดวาน (Radwan Brigade) ซึ่งเป็นหน่วยรบพิเศษที่ได้รับการฝึกฝนสำหรับปฏิบัติการเชิงรุกลึกเข้าไปในพื้นที่ตอนเหนือของอิสราเอล

แต่ด้วยสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ฮิซบุลเลาะห์อาจจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนกำลังรบเชิงรุกไปเสริมความแข็งแกร่งให้กับปฏิบัติการเชิงรับ ซึ่งไม่เพียงช่วยลดความต้องการด้านลอจิสติกส์ แต่ยังตอบสนองความจำเป็นเร่งด่วนของกลุ่ม ได้แก่ การรักษาความลับ ความยืดหยุ่น และการมุ่งเน้นไปที่ความแข็งแกร่งในระยะยาว

โดยธรรมชาติแล้ว ปฏิบัติการป้องกันต้องการอาวุธเฉพาะทางน้อยกว่า และส่วนใหญ่พึ่งพาความคุ้นเคยกับภูมิประเทศและยุทธวิธีอสมมาตร การโจมตีล่าสุดของอิสราเอลส่วนใหญ่สร้างความเสียหายต่อขีดความสามารถเชิงรุก ซึ่งอาจไม่ใช่สิ่งจำเป็นในทันทีสำหรับสถานการณ์ปัจจุบัน

ด้วยการรวมกำลังพลเข้าด้วยกันจะช่วยให้ฮิซบุลเลาะห์สามารถจัดสรรทรัพยากรไปสู่การฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานด้านการป้องกัน พร้อมกับการรักษากำลังสำรองเชิงยุทธศาสตร์ไว้สำหรับรับมือสถานการณ์ฉุกเฉินในอนาคต

การลักลอบและตลาดมืด

แม้เส้นทางลำเลียงอาวุธผ่านซีเรียจะถูกตัดขาดจากการล่มสลายของรัฐบาลอัสซาด แต่ก็ยังมีช่องทางทางเลือกสำหรับการจัดหาอาวุธอยู่ ตลาดมืดในเลบานอนถือเป็นแหล่งสำคัญสำหรับอาวุธขนาดเล็กและขนาดกลาง เช่น ปืนกล ปืนสไนเปอร์ และกระสุน

เครือข่ายการลักลอบขนของผิดกฎหมายผ่านทางบก ทางทะเล หรือแม้กระทั่งทางอากาศ ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความยืดหยุ่นในอดีต และอาจเป็นทางออกชั่วคราวสำหรับฮิซบุลเลาะห์ แม้จะมีการตรวจสอบระหว่างประเทศที่นำโดยกองกำลังรักษาสันติภาพสหประชาชาติ (UNIFIL) และชาติตะวันตก ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องความไม่น่าไว้วางใจ แต่ฮิซบุลเลาะห์อาจใช้ประโยชน์จากช่องว่างในการบังคับใช้กฎหมาย คล้ายกับที่การขนส่งอาวุธก่อนหน้านี้ไปถึงกลุ่มกบฏซีเรียโดยที่ไม่ถูกตรวจพบ

แม้การลักลอบจะมีความเสี่ยงสูง แต่ประวัติศาสตร์ได้แสดงให้เห็นว่าเมื่อใดที่มีความต้องการ เส้นทางการจัดหาก็จะเกิดขึ้น แม้จะเป็นเครือข่ายลึกลับก็ตาม

ตราบใดที่ยังมีเส้นทางการค้า ตลาดมืดและการลักลอบก็จะดำรงอยู่ต่อไป เปิดโอกาสให้ผู้ที่ต้องการสามารถจัดหาอาวุธได้ในราคาที่เหมาะสม ไม่ต่างจากกรณีของเรือ “ลุตฟัลเลาะห์” (Lutfallah) ที่เคยส่งอาวุธให้กลุ่มกบฏซีเรียในอดีต

พันธมิตรในซีเรียยุคหลังอัสซาด?

แม้ในอดีตฮิซบุลเลาะห์จะเป็นพันธมิตรที่แนบแน่นกับอัสซาด แต่กลุ่มนี้ได้แสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นทางการเมืองในการรับมือกับผู้นำใหม่ในซีเรีย ท่ามกลางความขัดแย้งที่ยังคงดำเนินอยู่และการโจมตีของอิสราเอล

ผู้มีอำนาจใหม่ในกรุงดามัสกัสกำลังเผชิญทางเลือกสำคัญ: จะเลือกเดินหน้าปรับความสัมพันธ์กับรัฐอาหรับที่สนับสนุนการปรับตัวเข้าสู่กระบวนการปกติ (normalization) กับรัฐยึดครอง หรือจะมองหาพันธมิตรทางเลือกเพื่อรักษาอำนาจของตน หากซีเรียเลือกทางหลัง ความเป็นไปได้ของการสร้างความร่วมมือใหม่กับอิหร่านและฮิซบุลเลาะห์ไม่อาจถูกมองข้ามได้

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์เช่นนี้ยังดูห่างไกลและขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงทั้งทางการเมืองและการทหาร ชีคนาอีม กอเซ็ม กล่าวในคำปราศรัยเมื่อวันเสาร์ว่า:

“เราหวังว่าผู้นำกลุ่มใหม่ในซีเรียจะถือว่าอิสราเอลเป็นศัตรู และไม่ปรับความสัมพันธ์ให้เป็นปกติ นี่คือประเด็นหลักที่จะกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างเราและซีเรีย”

ความเสียหายที่ฮิซบุลเลาะห์ได้รับในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาเป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้ แต่ก็ยังห่างไกลจากจุดจบ การสูญเสียซีเรียในฐานะเส้นทางลำเลียงอาวุธถือเป็นความท้าทายสำคัญ แต่ประวัติศาสตร์ของขบวนการต่อต้านนี้ก็แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการปรับตัวและความยืดหยุ่น

ตั้งแต่การผลิตในประเทศ การลดขนาดปฏิบัติการ และการใช้เครือข่ายตลาดมืด ฮิซบุลเลาะห์ได้พิสูจน์ความสามารถในการปรับตัวภายใต้สถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด แม้ช่วงเวลาปัจจุบันจะเป็นหนึ่งในบททดสอบที่ยากลำบากที่สุดที่กลุ่มเคยเผชิญ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

นับตั้งแต่การก่อตั้งองค์กรในช่วงสงครามกลางเมืองเลบานอนและการรุกรานทางใต้ของเลบานอนโดยอิสราเอล ฮิซบุลเลาะห์ได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการดำเนินการอย่างรอบคอบ การปรับตัวเชิงกลยุทธ์ และความอดทนเมื่อการอยู่รอดตกอยู่ในความเสี่ยง

ไม่ว่าขบวนการต่อต้านนี้จะจับมือกับรัฐบาลใหม่ของซีเรียหรือไม่ก็ตาม เป้าหมายหลักยังคงชัดเจน นั่นคือการฝ่าฟันให้ผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ และคงความพร้อมรับมือกับความท้าทายใดๆ ที่รออยู่ข้างหน้า

โต๊ะข่าวต่างประเทศ เดอะพับลิกโพสต์
แปลและเรียบเรียงจาก https://thecradle.co