เมื่อวันที่ 8 ม.ค. ว่าที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แชร์วิดีโอคลิปที่เผยความเห็นจากศาสตราจารย์เจฟฟรีย์ แซคส์ นักเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ซึ่งวิจารณ์นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮูของอิสราเอลอย่างรุนแรง โดยเรียกเขาว่า “ไอ้สารเลว” และกล่าวหาว่าเนทันยาฮูมีบทบาทสำคัญในการผลักดันสหรัฐเข้าสู่สงครามในตะวันออกกลางมาอย่างยาวนาน
เนื้อหาในวิดีโอ: กล่าวโทษนโยบายเนทันยาฮู
ในวิดีโอคลิปที่ทรัมป์โพสต์บน Truth Social เป็นส่วนย่อยจากการบรรยายของศาสตราจารย์แซคส์ที่ระบุว่า เนทันยาฮูมีบทบาทสำคัญในการสร้างข้ออ้างที่นำไปสู่การรุกรานอิรักในปี 2003 รวมถึงความขัดแย้งในซีเรียและอิหร่าน โดยแซคส์กล่าวว่า เนทันยาฮูมีทฤษฎีตั้งแต่ปี 1995 ว่าวิธีเดียวที่จะกำจัดกลุ่มฮามาสและฮิซบุลเลาะห์ได้คือการโค่นล้มรัฐบาลที่สนับสนุนกลุ่มเหล่านี้ ซึ่งได้แก่อิรัก ซีเรีย และอิหร่าน
“และเจ้าหมอนั่น (เนทันยาฮู) เป็นคนหมกมุ่น และเขายังคงพยายามโน้มน้าวให้เราต่อสู้กับอิหร่านจนถึงทุกวันนี้” ศาสตราจารย์แซคส์กล่าวและว่า “เขาเป็นไอ้สารเลว ฉันเสียใจที่ต้องบอกคุณแบบนี้”
Donald Trump Truth Social 03:50 PM EST 01/07/25 pic.twitter.com/HLnrAMfN3d
— Donald J. Trump Posts From His Truth Social (@TrumpDailyPosts) January 7, 2025
บทบาทของทรัมป์และผลกระทบต่อพรรครีพับลิกัน
การแชร์วิดีโอที่มีเนื้อหาวิจารณ์เนทันยาฮูอย่างรุนแรงโดยอดีตผู้นำพรรครีพับลิกัน สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงในจุดยืนของพรรคเกี่ยวกับนโยบายต่างประเทศ โดยเฉพาะความสัมพันธ์กับอิสราเอลที่เคยได้รับการสนับสนุนอย่างมั่นคง
สื่อ ฮาอาเร็ตส์ ของอิสราเอลวิเคราะห์ว่า การกระทำของทรัมป์อาจเป็นสัญญาณของความแตกแยกภายในพรรครีพับลิกันเกี่ยวกับจุดยืนต่ออิสราเอล และอาจสะท้อนถึงการตั้งคำถามต่อบทบาทของสหรัฐในตะวันออกกลาง
เสียงตอบโต้จากอิสราเอล
ด้านเจ้าหน้าที่ระดับสูงของอิสราเอล เช่น อามิชัย ชิกลิ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกิจการพลัดถิ่น ออกมาตอบโต้คำกล่าวของแซคส์ โดยกล่าวหาว่าแซคส์เป็นผู้เผยแพร่แนวคิดต่อต้านอิสราเอล และร่วมมือกับกลุ่มที่สนับสนุนทฤษฎีสมคบคิด อย่างไรก็ตาม แซคส์ยืนยันว่าคำวิจารณ์ของเขามุ่งเน้นไปที่รัฐบาลเนทันยาฮูและนโยบายที่เขาเห็นว่ามีลักษณะ “สุดโต่ง”
นัยสำคัญต่ออนาคตนโยบายต่างประเทศ
การแชร์วิดีโอนี้ไม่เพียงแต่สร้างแรงกระเพื่อมในพรรครีพับลิกัน แต่ยังสะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงในวิธีที่สหรัฐฯ มองบทบาทของตนในตะวันออกกลาง โดยคำวิจารณ์ที่เคยถูกมองว่า “ห้ามแตะต้อง” เริ่มกลายเป็นประเด็นถกเถียงในที่สาธารณะ
ทรัมป์แสดงให้เห็นถึงการใช้โซเชียลมีเดียเป็นเครื่องมือกระตุ้นการสนทนาและตั้งคำถามต่อแนวคิดดั้งเดิมที่เคยได้รับการยอมรับในพรรคและการเมืองอเมริกันอย่างกว้างขวาง