“Khaosod English ถูกวิจารณ์หนัก หลังเผยแพร่บทความของทูตอิสราเอลโดยไม่แก้ไข นักข่าวดังจี้ถาม หากฮามาสส่งบทความมา จะเผยแพร่ด้วยหรือไม่? เพียงหนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น ข่าวสดอิงลิชปล่อยบทความจากสถานทูตอิหร่าน ดึงความสนใจว่าเป็นเกมบาลานซ์ข่าวหรือเพียงกลยุทธ์ดึงยอดผู้อ่าน?”
25 ก.พ. ข่าวสดภาษาอังกฤษ (Khaosod English) ได้เผยแพร่บทความของเอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำประเทศไทย ออร์นา ซากีฟ โดยระบุว่า “เอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำประเทศไทย ออร์นา ซากีฟ เขียนบทความล่าสุดเมื่อวันอังคาร และส่งสำเนามาถึงเรา” พร้อมเน้นย้ำว่า “นี่คือบทความของทูตอิสราเอลแบบไม่มีการตัดต่อ“
นักข่าวดังจวก Khaosod English – ชี้เป็นการเผยแพร่โฆษณาชวนเชื่อโดยไร้การตรวจสอบ
หลังบทความดังกล่าวถูกเผยแพร่ แอนดรูว์ แม็กเกรเกอร์ มาร์แชลล์ (Andrew MacGregor Marshall) นักข่าวและนักเขียนชื่อดัง อดีตนักข่าวของ Reuters ได้เข้าไปแสดงความเห็นในเพจ Khaosod English โดยกล่าวว่า
“เป็นจุดตกต่ำครั้งใหม่ของ Khaosod English ซึ่งเคยได้รับความเคารพอย่างสูง แต่กลับเผยแพร่โฆษณาชวนเชื่อโดยไม่มีการแก้ไขเลย เกิดอะไรขึ้น ประวิตร? เธอช่างไม่ใส่ใจอย่างสิ้นเชิง ถึงขนาดไม่เอ่ยถึงชาวไทยที่ถูกสังหารหรือถูกลักพาตัวเลยด้วยซ้ำ“
แอนดรูว์ยังแสดงความคิดเพิ่มเติมอีกว่า โพสต์ของเอกอัครราชทูตเน้นเฉพาะเหยื่อชาวอิสราเอล เพราะดูเหมือนว่าคนปาเลสไตน์ผู้บริสุทธิ์นับหมื่นที่ถูกสังหารนั้นจะไม่มีความหมายเลย มันเต็มไปด้วยข้อมูลเท็จ เช่น การกล่าวอ้างว่า “ครอบครัวนับไม่ถ้วนถูกสังหาร ถูกข่มขืน และถูกทำลาย“ เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม”
ความจริงก็คือ พวกเขาไม่นับไม่ถ้วน เราสามารถนับได้ และจำนวนเหยื่อจากเหตุโจมตีของฮามาสในวันที่ 7 ตุลาคม ก็สามารถเปรียบเทียบกับตัวเลขที่เชื่อถือได้ว่ามีผู้เสียชีวิตในกาซามากกว่า 60,000 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงและเด็กที่ไม่ใช่ฝ่ายต่อสู้
ฉันไม่เห็นความสำนึกผิดหรือการแสดงความรับผิดชอบใด ๆ ในโฆษณาชวนเชื่อที่ Khaosod English เผยแพร่เลย เอกอัครราชทูตดูเหมือนจะไม่ถือว่าชาวปาเลสไตน์เป็นมนุษย์เหมือนกัน
นั่นแหละที่เรียกว่า บ้าคลั่งอย่างแท้จริง
ไม่เพียงแค่นั้น แอนดรูว์ยังแชร์ข่าวนี้ไปยังเพจของตนเอง พร้อมตั้งคำถามต่อ Khaosod English อย่างตรงไปตรงมา
“สวัสดี Khaosod English, คุณช่วยอธิบายได้ไหมว่าทำไมคุณถึงเผยแพร่โฆษณาชวนเชื่อของอิสราเอลแบบคำต่อคำ? ถ้าฮามาสส่งบทความมา คุณจะเผยแพร่ให้พวกเขาด้วยหรือไม่?”
“คนที่มีจิตสำนึกทุกคนล้วนตกตะลึงกับความรุนแรงเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2023 และต่างก็ตกตะลึงกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่ชาวปาเลสไตน์ต้องเผชิญนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา“
“น่าเหลือเชื่อที่เอกอัครราชทูตอิสราเอลไม่แม้แต่จะกล่าวถึงชาวไทยที่ถูกสังหารและถูกลักพาตัว“
เขายังแท็กหา ประวิตร โรจนพฤกษ์ ผู้สื่อข่าวอาวุโสของ Khaosod English เพื่อเรียกร้องคำชี้แจง
เนื้อหาบทความของทูตอิสราเอล – มุ่งโจมตีฮามาส
จนถึงขณะนี้ Khaosod English ยังไม่ได้ออกมาชี้แจงเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว ขณะที่บทความของ ออร์นา ซากีฟ ยังคงถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก เนื่องจากมุ่งโจมตีขบวนการ ฮามาส และย้ำว่าการปราบปรามฮามาสเป็น “ความจำเป็นทางศีลธรรม“
บทความของซากีฟกล่าวถึงโศกนาฏกรรมของครอบครัว บีบาส ซึ่งถูกลักพาตัวโดยฮามาสระหว่างเหตุโจมตีคิบบุตซ์เนียร์ออซเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2023 โดยเธอเน้นย้ำว่าภาพของ ชิริ บีบาส ที่ถูกฉุดออกจากบ้านพร้อมลูกสองคนเป็นสัญลักษณ์ของความโหดร้ายของฮามาส
นอกจากนี้ยังกล่าวถึง ยาร์เดน บีบาส ผู้เป็นพ่อที่ถูกจับเป็นตัวประกันและถูกใช้เป็นเครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อ ขณะที่ภรรยาและลูกชายทั้งสองถูกสังหารระหว่างถูกควบคุมตัว ฮามาสส่งศพลูกชายกลับมาให้ในเดือนกุมภาพันธ์ 2025 แต่ในตอนแรกพวกเขาส่งศพของหญิงปาเลสไตน์นิรนามมาแทนชิริ ก่อนจะส่งร่างที่แท้จริงคืนในวันถัดมา
ซากีฟใช้เหตุการณ์นี้เป็นหลักฐานยืนยันว่าฮามาสไม่ใช่ขบวนการทางการเมือง แต่เป็นองค์กรก่อการร้ายที่กระทำอาชญากรรมสงครามอย่างเป็นระบบ เธอชี้ว่าฮามาสใช้พลเรือนเป็นโล่มนุษย์ ขโมยความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม และบิดเบือนข้อมูลเพื่อล้างสมองผู้สนับสนุน
บทความเรียกร้องให้ประชาคมระหว่างประเทศร่วมมือกันกำจัดฮามาส โดยเน้นว่า
“จะไม่มีสันติภาพ ไม่มีเสถียรภาพ และไม่มีอนาคตตราบใดที่ฮามาสยังควบคุมกาซาอยู่“
พร้อมปิดท้ายด้วยการย้ำว่า
“เพื่อความยุติธรรมและเพื่ออนาคตที่สงบสุข—ฮามาสต้องถูกหยุดยั้ง“
มุมมองที่แตกต่างต่อฮามาส – ก่อการร้ายหรือขบวนการต่อต้าน?
แม้ว่า ฮามาส จะถูกจัดให้เป็นองค์กรก่อการร้ายในมุมมองของ อิสราเอล สหรัฐฯ และชาติตะวันตก เนื่องจากการโจมตีพลเรือนและการใช้ความรุนแรง แต่ในสายตาของชาวมุสลิมจำนวนมาก โดยเฉพาะในโลกอาหรับและอิสลาม รวมถึงนักต่อสู้เพื่อเอกราช ฮามาสถูกมองว่าเป็นขบวนการต่อต้านการยึดครอง
สำหรับผู้สนับสนุน ฮามาสเป็นตัวแทนของการต่อสู้เพื่อปลดปล่อยปาเลสไตน์จากการยึดครองของอิสราเอล และถือเป็นกลุ่มที่ยืนหยัดปกป้องชาวปาเลสไตน์จากการถูกกดขี่ แม้จะมีการวิพากษ์วิจารณ์แนวทางการต่อสู้ด้วยอาวุธ แต่ผู้สนับสนุนฮามาสเชื่อว่าการใช้กำลังเป็นสิ่งจำเป็นในการตอบโต้การโจมตีของอิสราเอลและการละเมิดสิทธิมนุษยชน
ขณะที่ประชาคมโลกยังคงถกเถียงกันเกี่ยวกับสถานะของฮามาส คำถามสำคัญที่ถูกหยิบยกขึ้นมาคือ “อะไรคือเส้นแบ่งระหว่างการก่อการร้ายกับการต่อต้านการยึดครอง?” และการจัดการกับปัญหาปาเลสไตน์ควรต้องพิจารณาอย่างรอบด้านเพื่อหลีกเลี่ยงการมองเพียงมุมเดียว
ความฉลาดในการเล่นเกมบาลานซ์ข่าวสารของ Khaosod English หรือการดึงยอดผู้อ่าน?
เพียงหนึ่งชั่วโมงหลังจากที่ Khaosod English เผยแพร่บทความของ เอกอัครราชทูตอิสราเอล ซึ่งถูกวิจารณ์อย่างหนัก พวกเขาก็เผยแพร่บทความจาก สถานทูตอิหร่าน ในประเทศไทย ซึ่งพูดถึง ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย–อิหร่านที่ดำเนินมายาวนานถึง 70 ปี และความผูกพันระหว่างประชาชนทั้งสองชาติที่มีมากว่า 420 ปี
บทความของสถานทูตอิหร่านมีเนื้อหาสะท้อนถึงมุมมองของอิหร่านเกี่ยวกับสันติภาพ ความยุติธรรม และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยชูให้เห็นถึง อิหร่านในฐานะประเทศที่มุ่งเน้นความร่วมมือพหุภาคี (multilateralism) แทนที่จะยึดแนวทางอำนาจเดียว (unilateralism) พร้อมกล่าวถึงบทบาทของอิหร่านในด้าน วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และเศรษฐกิจ แม้จะเผชิญกับมาตรการคว่ำบาตรระหว่างประเทศ
นอกจากนี้ บทความยังกล่าวถึง ชัยชนะของการปฏิวัติอิสลามในอิหร่าน (1979) และเน้นย้ำว่าความสำเร็จของอิหร่านในหลายด้าน เช่น การศึกษา วิทยาศาสตร์ การแพทย์ และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เป็นผลมาจากความพยายามของประชาชนที่ยืนหยัดแม้เผชิญอุปสรรคจากอำนาจภายนอก
จุดที่น่าสนใจในบทความคือ การวิพากษ์วิจารณ์นโยบายของชาติตะวันตก โดยเฉพาะ “การใช้มาตรการบีบบังคับฝ่ายเดียวอย่างผิดกฎหมาย” และ “การแทรกแซงกิจการภายในของรัฐอื่น” ซึ่งอิหร่านมองว่าเป็นสาเหตุของความไม่มั่นคงทั่วโลก
อีกประเด็นที่ถูกกล่าวถึงในบทความคือ สถานการณ์ในตะวันออกกลาง ซึ่งอิหร่านระบุว่าการสังหารชาวปาเลสไตน์ในกาซาและเลบานอนเป็น “การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” และเรียกร้องให้มีการหยุดยิงถาวร โดยยังย้ำถึง บทบาทของอิหร่านในการช่วยเหลือไทยในการปล่อยตัวตัวประกันชาวไทยจากกาซา
การเล่นเกมข่าวของ Khaosod English – สมดุลหรือกลยุทธ์ดึงกระแส?
การเผยแพร่บทความของ อิสราเอลและอิหร่านในช่วงเวลาติดกัน ทำให้เกิดคำถามว่า Khaosod English กำลังพยายาม รักษาสมดุลข่าวสาร หรือเป็นกลยุทธ์ดึงยอดผู้อ่าน ท่ามกลางกระแสความขัดแย้งในภูมิภาค
การเลือกลงบทความจากทั้งสองฝ่ายในช่วงเวลาที่ไล่เลี่ยกัน อาจเป็นความพยายามสร้างภาพลักษณ์ของการนำเสนอข่าวอย่าง “เป็นกลาง” ท่ามกลางความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ หรืออาจเป็นเพียงการ ใช้กระแสเพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วมของผู้ติดตาม
ข้อสังเกตต่อแนวทางของ Khaosod English
- การลงบทความของ สถานทูตอิหร่าน หลังจากบทความของทูตอิสราเอลเพียงหนึ่งชั่วโมง อาจถูกมองว่าเป็นความพยายาม สร้างสมดุลทางการนำเสนอข่าว หรือป้องกันข้อกล่าวหาว่าเลือกข้าง
- เนื้อหาของบทความอิหร่านแสดงจุดยืนต่อต้านอิสราเอลอย่างชัดเจน โดยใช้คำว่า “การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” ขณะที่บทความของอิสราเอลมุ่งโจมตีฮามาส
- การเปิดพื้นที่ให้สถานทูตต่างๆ ส่งบทความโดยไม่มีการตัดต่อ แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มของ Khaosod English ที่อาจกำลังใช้กลยุทธ์ ดึงดูดผู้อ่านจากทุกฝ่าย
ไม่ว่าแนวทางของ Khaosod English จะเป็น ความพยายามในการรักษาสมดุลทางข่าวสาร หรือการใช้กระแสเพื่อสร้างการมีส่วนร่วม คำถามสำคัญคือ “การให้พื้นที่แก่ทั้งสองฝ่ายเช่นนี้ ถือเป็นการรายงานข่าวที่สมดุลจริงหรือไม่?” และ “การรายงานข่าวแบบนี้ให้ประโยชน์กับสังคมหรือเป็นเพียงเครื่องมือสร้างกระแส?” จนถึงขณะนี้ Khaosod English ยังไม่ได้ออกมาให้คำชี้แจงเกี่ยวกับแนวทางการนำเสนอข่าวดังกล่าว