หยงสตาร์: จุดเปลี่ยนของอุตสาหกรรมหอยนางรมชายฝั่งตรัง

บนชายฝั่งจังหวัดตรัง หมู่บ้านหยงสตาร์ เคยเป็นเพียงแหล่งหาหอยนางรมจากธรรมชาติ ทว่าการเข้ามาขององค์ความรู้ใหม่ได้พลิกโฉมให้กลายเป็นศูนย์กลางการเลี้ยงหอยคุณภาพสูงที่เติบโตเร็วที่สุดใน 11 ชุมชน ด้วยอัตราเติบโตเฉลี่ย 1.11 มิลลิเมตรต่อวัน

“ใน 11 ชุมชนพบว่า หยงสตาร์มีอัตราเติบโตสูงสุด 1.11 ต่อวัน ด้วยคุณภาพน้ำ ความเค็ม ปริมาณแพลงตอน อัตราการกรองกินเหมาะสม เติบโตได้ดี คุณภาพหอยดี เนื้อเต็ม ทางแพได้ร่วมส่งเสริมการลดเชื้อจุลินทรีย์ด้วยจึงสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภคได้มากขึ้น” ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุพัชชา ชูเสียงแจ้ว หัวหน้าทีมวิจัย คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการประมง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีศรีวิชัย (มทร.ศรีวิขัย) กล่าวถึงผลลัพธ์ที่เป็นจริงจากโครงการการถ่ายทอดเทคโนโลยีและระบบการเลี้ยงหอยนางรมเพื่อสร้างอาชีพทางเลือกให้กับชุมชนชายฝั่งจังหวัดตรัง

ดร.สุพัชชา ชูเสียงแจ้ว

ก่อนหน้านี้ในชุมชนบ้านหยงสตาร์ ม.2 ต.ท่าข้าม อ.ปะเหลียน จ.ตรัง มีการเลี้ยงหอยนางรมกันน้อยมาก เกษตรกรส่วนใหญ่จะไปแงะจากธรรมชาติและใส่กระชัง แต่ไม่เป็นอาชีพ

“จุดเด่นของหยงสตาร์คือ มีผู้นำชุมชนเข้มแข็ง ประธานกลุ่มคือ พี่สมสุข มุ่งมั่นที่จะเลี้ยงหอยนางรมเพราะเห็นบริบทพื้นที่ว่า สามารถเลี้ยงได้แน่นอน เมื่อมีโอกาสเข้ามาจึงมีการรวมกลุ่มสมาชิกเพื่อเลี้ยงและได้อบรมกับมทร.ศรีวิชัย ที่บพท.หนุนเสริม นำลูกหอยมาเลี้ยง และโตได้ดี จากที่ศึกษามา 11 ชุมชนพบว่า ที่หยงสตาร์มีอัตราเติบโตสูงสุด”

“ด้วยคุณภาพน้ำ ความเค็ม ปริมาณแพลงตอน อัตราการกรองกินเหมาะสม เติบโตได้ดี ตรงนี้มีน้ำขึ้นน้ำลง น้ำกร่อยไม่เค็มเกินไป อัตราการเติบโต 1.11 ต่อวัน คุณภาพหอยดี เนื้อเต็ม ทางแพได้ร่วมส่งเสริมการลดเชื้อจุลินทรีย์จึงเป็นข้อต่อกันว่า สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภคได้มากขึ้น”

ในการปรับใช้นวัตกรรมที่เหมาะสมในการเลี้ยงหอยนางรม ผศ.ดร.สุพัชชา บอกว่ามีเทคโนโลยี 2 อย่างคือ ตะกร้าพลาสติก 3 ชั้น เป็นเทคโนโลยีอย่างง่าย ราคาถูก ใช้ได้ผลดีในการเติบโต เพิ่มปริมาณ และเครื่องคัดแยกขนาด เพิ่มความสม่ำเสมอให้ลูกหอย เกษตรกรสามารถจัดการได้ว่าในกระชังมีขนาดเท่าไหร่ แบ่งโซนได้

“สำคัญคือไม่มีต้นทุนค่าอาหาร อยู่ที่การบริหารจัดการของผู้เลี้ยง ตลาดของหอยนางรมอยู่ในชุมชนที่เป็นผู้ประกอบการเองและเครือข่ายภาคอีสาน ส่วนทางมาเลเซียต้องรอให้มีเอกสารรับรองถูกต้องก่อน”

ชุมชนชายฝั่งจังหวัดตรังเลี้ยงหอยนางรมด้วยวิธีแปะปูนแขวนพวงในกระชัง 9 ตารางเมตร (1,000-2,000 ตัว) หากยังใช้พื้นที่ไม่เต็มศักยภาพ ขาดการจัดการที่ดี โดยเฉพาะการคัดแยกขนาดที่อาศัยการสังเกต ส่งผลให้ขาดมาตรฐาน ทีมวิจัยเสนอเทคโนโลยีเสริมเพื่อเพิ่มผลผลิตและสร้างมาตรฐาน ขับเคลื่อนอาชีพและรายได้ของชุมชน

ด้วยการดำเนินงานเวทีแลกเปลี่ยนผ่านผู้นำชุมชนและเครือข่ายประมงจังหวัด ด้วยถ่ายทอดเทคโนโลยี สอนการเพาะเลี้ยงและจัดการหอยนางรมด้วยการเลี้ยงด้วยตะกร้าพลาสติก ใช้งานง่าย วัสดุราคาถูก ทนทานกว่า 3 ปี อัตรารอดของลูกหอยสูงกว่า 95 เปอร์เซ็นต์ และเติบโตเร็ว (2.37 มม./วัน) สามารถใช้เลี้ยงตั้งแต่ขนาด 2 ซม. จนถึงจำหน่าย

พร้อมเครื่องคัดแยกขนาด ผลิตจากพีวีซีหรือสแตนเลส ช่วยลดระยะเวลาคัดแยกหอยนางรมได้มากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ ลดต้นทุนแรงงาน 1-2 บาทต่อตัว และเพิ่มความสม่ำเสมอของผลผลิต แก้ปัญหาการคัดแยกด้วยการคาดคะเนของเกษตรกร ปรับใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของพื้นที่

โครงการส่งเสริมการเลี้ยงหอยนางรมช่วยเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจของชุมชนชายฝั่งจังหวัดตรัง โดยมี ROI อยู่ระหว่าง 57.97 – 820.96 โดยเฉพาะชุมชนหยงสตาร์ที่มีอัตราผลตอบแทนสูงสุด เนื่องจากเดิมไม่มีการเลี้ยงหอยนางรมเป็นอาชีพ

ตะกร้าพลาสติกและเครื่องคัดแยกขนาด นวัตกรรมพร้อมใช้ถูกนำไปใช้จริงใน 11 ชุมชนคือกลุ่มเลี้ยงหอยนางรมบ้านหยงสตาร์ บ้านบางค้างคาว บ้านทอนหาน บ้านตะเส๊ะ บ้านแหลมมะขาม บ้านเกาะลิบง บ้านแหลม บ้านวังตง บ้านมะหงัง บ้านบารายี และบ้านเกาะเคี่ยม และมีแนวโน้มขยายไปยังพื้นที่อื่นในจังหวัดตรังและจังหวัดใกล้เคียง รวมทั้งโครงการถูกบรรจุในแผนพัฒนาตำบล โดยมีทีมวิจัยเป็นที่ปรึกษาเพื่อความยั่งยืนของชุมชน