เขียนโดย : อ.อับดุลกอเดร มัสแหละ
ขอบคุณ/ที่มา/ ติดตามงานเขียนของอาจารย์ได้ที่ : https://www.facebook.com
“มุรตัด” คือกฏข้อหนึ่งของผู้ที่นับถือศาสนาอิสลาม ที่คนมุสลิมต้องระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง…ทำไมศาสนาอิสลามต้องมีกฏข้อนี้ นั้นก็เพราะว่า อิสลามเป็นศาสนาที่เชื่อในพระเจ้าองค์เดี่ยว การเชื่อในพระเจ้าองค์เดียว จะมีความเชื่ออื่นๆมาปะปนไม่ได้
การระมัดระวังเรื่อง “มุรตัด” อาจจะต่างกันในแต่ละบุคคล นั้นหมายความว่าระมัดระวังในระดับที่ต่างกัน
การระมัดระวังขั้นสูงสุด ก็คือการปฏิเสธในทุกความเชื่อที่จะก่อให้เกิดการตั้งภาคี ตรงนี้หากเพื่อนต่างศาสนิก ไม่เข้าใจ ก็อาจจะมองว่า มุสลิมคนนี้เคร่งมากจนเกินไปอะไรก็ไม่ได้เลย
ผมยกตัวอย่าง…ในสมัยเด็กๆคนผู้ใหญ่ห้ามเราใช้ตะเกียบกินอาหาร เนื่องจากกลัวจะไปเหมือนคนจีน แต่เมื่อเรามีความรู้มากขึ้น การกินตะเกียบมันเป็นวัฒนธรรมของชาติพันธุ์จีน ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับศรัทธา เป็นต้น
หากจะเทียบเคียงง่ายๆ “มุรตัด” เสมือนกติกากีฬา ฟุตบอลก็ห้ามใช้มือ ในขณะที่วอลเลย์บอลก็ห้ามใช้เท้า
ถ้าเราจะเล่นฟุตบอล แต่เราไปใช้มือ ก็กลายเป็นเล่นวอลเลย์บอลไป ทั้งที่มันก็ลูกกลมๆเช่นกัน
“มุรตัด” ก็เสมือนกับไม่ให้ฟุตบอลกลายเป็นวอลเลย์บอลนั้นเอง….หรือในทางศาสนาก็ เพื่อไม่ให้การศรัทธาผสมปนเป กันนั้นเอง มันจะแยกไม่ออกว่า ตกลงคนๆนั้นมีความเชื่อในศาสนาใดกันแน่
ผมเข้าใจว่าในทางพุทธเองก็มีประเด็นนี้เช่นกัน คือการปนเปในเรื่องความเชื่อ เพียงแต่ในทางพุทธไม่มีกฎเรื่อง “มุรตัด” หรือมีไม่ทราบนะครับ แต่ถ้ามี คนพุทธก็ตกศาสนากันมากมาย เพราะส่วนใหญ่ที่เห็น ก็ปฏิบัติออกนอกแนวของศาสนากันอยู่บ่อยๆ
ผมเห็นเพื่อนต่างศาสนิกบางคนมักจะบอกว่าอิสลามเอาเปรียบ จะแต่งงานด้วยก็ต้องบังคับให้คู่รักที่มิใช่มุสลิม ต้องมาเข้ารับอิสลามก่อน….นั้นแสดงว่าท่านไม่เข้าใจกติกา
เพราะในกติกาย่อยในเรื่องการแต่งงาน หนึ่งในนั้นทั้งคู่ก็ต้องเป็นมุสลิม…ถามต่อไปว่า ถ้าอีกฝ่ายไม่ยอมเป็นมุสลิม จะแต่งงานได้ไหม…ถ้าตอบแบบเอากติกาอิสลามไปจับ ก็ต้องบอกว่าไม่ได้ การแต่งงานนั้นไม่ถูกต้องตามกฎกติกาของศาสนา
ถามต่อว่าจะต้องทำอย่างไร มีให้เลือกดังนี้
1. ให้อีกคนยอมรับศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียวคืออิสลาม
2. แต่งโดยที่ฝ่าฝืนกติกาการแต่งงาน ผลก็คือเท่ากับไม่ได้แต่งงานที่ถูกต้องตามหลักอิสลาม นั้นก็คือการ “ซินา” นั้นเอง
3. อีกคนไปตามความเชื่อของคนที่คุณรัก ข้อนี่แหละคือ “มุรตัด”
ในข้อสามนี้ เขาก็สิ้นสภาพจากการเป็นมุสลิมแล้ว ไม่ใช่อิสลามใจแคบนะครับ หากเขาจะเลือกข้อ 3. มันก็เป็นสิทธิของเขา เพราะอิสลามไม่ได้บังคับในเรื่องการศรัทธา แต่เขาก็ต้องยอมรับสภาพ “มุรตัด” ที่เกิดขึ้น
ผมเคยถูกเชิญไปงานหลายๆงานจากเพื่อนต่างศาสนิก สำหรับคนที่เรียนรู้ซึ่งกันและกัน เขาก็จะไม่เชิญไปงานที่เกี่ยวข้องกับพิธีกรรมทางศาสนา เช่น งานบวช งานผ้าป่า งานกฐิน.
คนที่เข้าใจกันเขาก็จะทราบว่า ไม่ใช่เราไม่ให้เกียรติกัน แต่เราไปไม่ได้ เพราะ อิสลามมีกฎ “มุรตัด” นั้นเอง
ก็แปลกมากที่คนไทยโดยเฉพาะชาวพุทธยังรู้จักอิสลามน้อยมาก รู้แค่ไม่กี่ประการ และที่รู้ก็ไม่ใช่หลักที่เกี่ยวข้องกับการศรัทธา เช่น ไม่กินหมู ฯลฯ
ทั้งๆที่อิสลามอยู่คู่กับคนไทยมาช้านาน ต่อสู้เพื่อชาติบ้านเมือง กอบกู้เอกราชมาด้วยกัน มุสลิมก็เป็นใหญ่เป็นโต คุมกำลังสำคัญของชาติในอดีต ประวัติศาสตร์ก็ไม่ได้ชี้ว่า บุคคลเหล่านั้นบังคับให้คนไทยต้องมานับถือศาสนาอิสลาม
ในทางกลับกันบุคคลสำคัญในอดีตหลายๆคน ช่วงหลังก็ “มุรตัด” ด้วยซ้ำไป ท่านลองย้อยไปดูในสายสกุล บุนนาค อำมาตยกุล ยงใจยุทธ ฯลฯ
ประวัติศาสตร์ก็ชี้ชัดว่าไม่มีมุสลิมคนใดไปบังคับคนพุทธให้มาเป็นมุสลิม แต่หากจะมีมันต้องเกิดจากความเชื่อ ความศรัทธา ไม่ใช่การบังคับ
ท่านอาจจะไปมองเหตุการณ์ในสามจังหวัด ที่คนพุทธถูกฆ่า อันนั้นก็อาจจะคิดได้ แต่ท่านก็ควรมองให้ไกลไปอีกนิดว่า อันนี้เกิดจากผลพวงทางประวัติศาสตร์สงครามสยาม-ปาตานีหรือไม่ และเหตุการณ์สามจังหวัดใต้ คนมุสลิมเองก็ตายมิใช่น้อย
จริงๆก็ยากจะติงมุสลิมด้วยเช่นกันว่า หากจะหยิบยกประวัติศาสตร์ว่าแผ่นดินปาตานีคือแผ่นของมุสลิม ต้องเอาคืน ชุดคิดแบบนี้มันจะสร้างปัญหาไม่จบ เพราะอีกฝ่ายก็อ้างประวัติศาสตร์ได้เช่นกัน ว่าก่อนอิสลามมาในภูมิภาคนี้มันก็มิใช่แผ่นดินอิสลามมาก่อน…มันจบยาก
เรื่องนี้ท่านนบีฯให้ทางออกไว้สวยงามมาก คือฮาดีสที่เกี่ยวกับเพื่อนบ้าน 40 หลังคาเรือน ท่านไม่ได้แยกว่า 40 หลังคาเรือนรอบบ้านเรานั้นเป็นใครบ้าง
การดูแลทุกข์สุขเพื่อนบ้านมุสลิมต้องทำ….ดารุสลาม นั้นต้องหมายถึงแผ่นดินสันติ ไม่ว่าแผ่นดินนั้นมีมุสลิมอยู่ มีเพื่อนต่างศาสนิกอยู่ หากสถานที่นั้นเกิดสันติ นั้นก็คือ แผ่นดินดารุสลาม
ใน 40 หลังคาเรือนหากมีเพื่อนต่างศาสนิกอดยาก มุสลิมก็ต้องหยิบยืนปัจจัยให้ ขนาดสุนัขตัวหนึ่งหิวโหย เราเอาอาหารให้มันกิน ท่านนบีฯยังบอกว่าคนนั้นได้เข้าสวรรค์
ผมเข้าใจว่าความสุดโต่ง ความอคติ สำหรับศาสนิกนั้นมีแน่ ทุกศาสนิกมีทั้งนั้น เพียงแต่การแสดงออกจะแสดงออกอย่างไรเท่านั้นเอง
และทุกคนที่เป็นศาสนิกก็อยากให้ คนทั้งหลาย “เข้ารีต” ในศาสนาตน เพราะทุกคนก็ต้องการแผยแพร่ศาสนาของตน
แต่ขอให้ทราบว่าอิสลามห้ามไม่ให้มีการบังคับในเรื่องศรัทธา ใครจะน้อมรับในศาสนาอิสลาม เขาต้องเกิดจากศรัทธาจริงๆ
วันนี้ท่านอาจจะเห็นว่ามุสลิมพยายามเสนอภาพและเรื่องราวของคนที่เข้ารับ อิสลาม แต่มุสลิมเองก็เลือกที่จะไม่นำเสนอคนที่ “มุรตัด” อันนี้ก็เข้าใจได้ แต่มิได้หมายความว่า คน “มุรตัด” จะไม่มี
หากเราเข้าใจประเด็นให้ชัดเจน ไม่รวมทุกเรื่องเป็นเรื่องเดียวกัน ปัญหาระหว่างความเชื่อก็จะไม่เกิดขึ้น
ผมเองพอที่จะรู้จักพระไพศาล วิสาโล เคยร่วมกิจกรรมกันหลายครั้ง “หลวงพี่ไพศาล” มีความเข้าใจเรื่องนี้ดีมาก
ผมว่านะ การที่เราจะมานั่งจับผิดกันในเรื่องที่ว่าอิสลามกำลังรุกรานศาสนาพุทธ โดยจับประเด็นเรื่องปัญหาสามจังหวัดเป็นประเด็นหลักและมีคำกล่าวของพระบาง รูปโดยพยายามบอกว่า อีก 50 ปี ประเทศไทยจะเป็นอิสลามทั้งประเทศ
ผมก็สงสัยเช่นกันว่า เอาอะไรมาวัด ถ้าจะเอาสื่อมาวัด ก็ต้องถามว่าสื่อของศาสนาใดมากกว่ากัน…
หรือเอามัสยิดมาวัด ก็ต้องบอกว่ามัสยิดที่เกิดขึ้นในแต่ละจังหวัด มันก็เกิดในชุมชนที่มีมุสลิมอยู่ เพราะชุมชนมุสลิมกับมัสยิดคือสิ่งที่คู่กัน มันเป็นสถานที่ปฏิบัติศาสนกิจ ไม่เกี่ยวกับการแผยแพร่ศาสนา
หากประเทศไทยจะเป็นมุสลิมกันทั้งประเทศในอีก 50 ปี ผมว่ามันน่าจะเป็นมาตั้งแต่ 100-200 ปีมาแล้ว และหากจะเป็นจริงจะโทษใคร..??…โทษมุสลิม หรือโทษคนไทยทั้งประเทศดี
เมื่อถึงเวลา 50 ปี ท่านคงต้องถามคนไทยทั้งประเทศแล้วว่า ทำไมพวกท่านถึงเป็นมุสลิม ????….
หรือในเวลานี้ ท่านจะถามคนในศาสนิกท่านก่อนก็ได้ว่า คุณได้เคร่งครัดในคำสอนมากน้อยเพียงใด นำหลักการของศาสนาท่านมาใช้ในชีวิตแค่ไหน วันมาฆะบูชา กับวันวาเลนไทม์ คนในศาสนิกท่านรู้จัก และให้ความสำคัญกับวันไหนมากกว่ากัน
ท่านได้ปกป้องเยาวชนหรือคนในศาสนาท่านอย่างไร…. ในวันสำคัญทางศาสนา คนในศาสนาท่านให้ความสำคัญหรือไม่
เท่าที่สังเกตุคนในศาสนาท่านได้ให้ความสำคัญกับวันสำคัญทางสากลมากกว่า วันสำคัญของศาสนา แต่ในทางกลับกันวันสำคัญในทางศาสนาอิสลาม คนไทยแทบไม่รู้จัก
ผมว่า คำถามของพระไพศาล วิสาโล น่าจะทำให้ท่าน ตอบโจทย์นี้ได้ดีที่สุด…..
ทั้งหมดนี้ก็อยากจะติงคนในศาสนิกทุกศาสนา ว่าหากเราศึกษากัน เข้าใจกัน ไม่ล้ำเส้นกัน ขอบวงกลมไม่เกยกัน ปัญหาไม่เกิดหรอก
สำคัญที่สุดอย่าเอาเหตุการณ์บางเหตุการณ์มารวมกับความเชื่อนั้นๆ เราก็จะอยู่กันด้วยความเข้าใจ
มุสลิมเองก็ต้องตระหนัก ว่าเรื่องการแผยแพร่นั้นศาสนาใช้ แต่ก็ต้องไม่ก้าวล้ำ เกินเลยต่อกัน ความเชื่อ ความศรัทธาจะบังคับกันไม่ได้ หากการศรัทธ อัลลอฮ์ประสงค์ที่จะบังคับกันแล้ว “อิบลิส”คงจะถูกบังคับเป็นรายแรกแน่นอน
สุดท้ายตรงนี้ อยากจะฝากถึงเพื่อนต่างศาสนิกอีกนิด…อิสลามเป็นศาสนาที่สอนว่ามนุษย์ทุกคน คือพี่น้องกัน เพราะอิสลามสอนว่าบรรพบุรุษของมนุษย์คือ “อาดัม”
มนุษย์ทั้งโลกต่างก็สืบเผ่าพันธุ์มาจาก “อาดัม” ทั้งสิ้น…ลูกหลาน “อาดัม” จะทะเลาะกันบ้าง ก็ลองดูในครอบครัวเราเอง พี่น้องคลานตามกันมายังทะเลาะเลยครับ….