ในทางรัฐศาสตร์ หลักการขั้นพื้นฐานของอุดมการณ์ประชาธิปไตย คือ หลักการสำคัญในเรื่องความเสมอภาคและสิทธิเสรีภาพ เคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของทุกคน ว่ามีความเสมอภาคเท่าเทียมกัน ด้วยเหตุที่ถือว่าความเสมอภาคเป็นเรื่องสำคัญ ประชาธิปไตยจึงยึดมั่นในสิทธิเสรีภาพ เพราะถ้าขาดเสรีภาพย่อมส่งผลต่อหลักประกันในเรื่องความเสมอภาค
ในสังคมประชาธิปไตยนั้น ประชาชนต้องมี สิทธิเสรีภาพ ที่จะใช้เหตุผลกำหนดชะตากรรมและสร้างสรรค์สังคมของตนเองได้
การปกครองระบอบนี้เองมีแนวคิดมาจากนักปราชญ์ตั้งแต่สมัยโบราณ และเป็นที่ยอมรับ มาจนถึงปัจจุบันว่า บุคคลทุกคนเมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์ ย่อมมีความเท่าเทียมกันในฐานะที่เป็นมนุษย์ด้วยกัน ทุกคนย่อมมีสิทธิและเสรีภาพเป็นของตนเองตามธรรมชาติ
คำว่า “เสรีภาพ” หมายถึง อำนาจตัดสินใจด้วยตนเองของมนุษย์ ที่จะเลือกทำการของตนเอง โดยไม่มีบุคคลอื่นใดอ้างหรือใช้อำนาจสอดแทรกเข้ามาเกี่ยวข้องการตัดสินใจนั้นๆ แต่แท้จริงแล้วการที่มนุษย์ดำรงชีวิตอยู่ในสังคม ตั้งแต่สังคมหน่วยที่เล็กที่สุดคือ “สังคมในครอบครัว” ไปจนถึง สังคมระดับมหภาคคือ “สังคมโลก” ย่อมต้องมีกฏเกณฑ์ในการอยู่ร่วมกันเพื่อให้เกิดความสงบสุขและสันติภาพ
หากเรามองเรื่องของเสรีภาพเป็นหน่วยที่เล็กลงในระดับจุลภาค จะพบว่า เราใช้คำว่า เสรีภาพ วนเวียนอยู่ในชีวิตประจำวันของมนุษย์อยู่แทบทุกอิริยาบถ ไม่ว่าจะเป็นเสรีภาพในการพูด เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น เสรีภาพในการดำเนินชีวิต แต่เมื่อบุคคลจะตัดสินใจกระทำการหรือไม่กระทำการสื่งใด ย่อมต้องคำนึงถึงกฎเกณฑ์ต่างๆ ของสังคม ดังเช่น กฏเกณฑ์บางเรื่องที่ไม่เอื้อต่อการใช้เสรีภาพตามธรรมชาติของมนุษย์ ทั้งที่ไม่ได้เป็นอันตรายต่อบุคคลอื่นโดยตรง ยังจะต้องมีการควบคุมการใช้เสรีภาพ ซึ่งในบางทัศนะ เป็นพฤติกรรมที่ผิดศีลธรรม เช่น การใช้สารเสพย์ติด การทำแท้ง การฆ่าตัวตาย
มิต้องพูดถึงการใช้คำว่าเสรีภาพที่นำไปใช้ในการละเมิดสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น ที่จะต้องมีเส้นแบ่ง มีกฏเกณฑ์ ในการอยู่ร่วมกัน เพราะในสังคมระดับที่ใหญ่ขึ้นก็ยิ่งมีความแตกต่าง ทั้งทางความเชื่อ จารีตประเพณี ขนบธรรมเนียม วัฒนธรรม มากขึ้นตามลำดับ ยกตัวอย่างในเรื่อง เสรีภาพเบื้องต้นของมนุษย์ เช่น เสรีภาพในการพูด เราไม่สามารถพูดในสิ่งอยากพูดได้ในทุกๆ เรื่อง และหากเรื่องที่เราพูดนั้นไปกระทบเกี่ยวพันกับชีวิตผู้อื่นไม่ว่าจะเป็นการ พูดจาดูหมิ่น สบประมาท กล่าวร้ายให้ผู้อื่นได้รับความเสียหาย การด่าว่าบุพการีอันเป็นที่เคารพรักของผู้อื่น การดูวิพากษ์วิจารณ์ดูหมิ่นความเชื่อ ความศรัทธาของผู้อื่น หรือแม้กระทั่งการพูดเปิดเผยเกี่ยวกับเรื่องความมั่นคงของชาติ ก็อาจส่งผลให้ผู้พูดได้รับผลจากการกระทำนั้นโดยการถูกดำเนินคดีทางกฏหมายได้ เช่นเดียวกัน
จากเหตุที่ยกมาดังกล่าว นับตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบัน คำว่า “เสรีภาพ” มีความหมายที่ดูงดงามในตัวมันเอง เป็นอุดมคติสวยหรูที่มนุษย์ใฝ่ฝันหา แต่หากมองย้อนในอีกแง่มุมนึง มนุษย์กำลังติดกับดักความสวยหรูของคำว่าเสรีภาพ มองคำว่าเสรีภาพเฉพาะแต่ในด้านที่งดงามเพียงด้านเดียวเท่านั้นหรือไม่? มนุษย์กำลังใช้คำว่าเสรีภาพสิ้นเปลืองเกินไปเสียจนหลงลืมว่า ความหมายของคำว่าเสรีภาพ ไม่ใช่เอาไว้พูดเพื่อให้ดูสวยหรูเพียงเท่านั้น หากแต่ในทางปฏิบัติ คำว่าเสรีภาพยังเกี่ยวพันกับชีวิตและความเป็นอยู่ของมนุษย์เอง ในทางที่จะได้รับสิทธิอย่างเท่าเทียมที่จะกระทำการทุกอย่างภายใต้ข้อตกลงใน การอยู่ร่วมกันในสังคม
อาจกล่าวได้ว่า คำนิยามของคำว่าเสรีภาพที่นักปรัชญาตะวันตกได้ให้ไว้ในทางปรัชญาการเมือง ยุคเริ่มต้นนั้น คำว่าเสรีภาพเป็นคำที่ให้ความหมายและให้คุณค่าที่สูงส่ง ต่อเมื่อหยิบยกนำมาใช้ในทางปฏิบัติแล้ว จึงควรประกอบด้วยการใช้หลักการและเหตุผลรองรับที่มีน้ำหนักเพิ่มเติมเข้าไป อีก มิใช่ปล่อยให้ทุกคนทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการโดยอ้างอิงว่า “นี่คือการใช้เสรีภาพที่มนุษย์มี” แต่เพียงเท่านั้น
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว จึงเกิดการตั้งคำถามว่า ในทางปฏิบัติแล้ว เราสามารถใช้เสรีภาพของมนุษย์ โดยไม่ต้องสนใจขอบเขตของมันเลยกระนั้นหรือ และในโลกใบนี้เสรีภาพที่ไร้ขอบเขตนั้น มีอยู่จริงหรือไม่ แม้กระทั่งในประเทศที่ได้ชื่อว่ามีเสรีภาพมากที่สุดก็ตาม หรือหากจะมีอยู่จริงคงมีแต่เพียงเสรีภาพทางความคิดเท่านั้น แต่เมื่อนำเสนอออกมา ไม่ว่าจะด้วยรูปแบบของคำพูดหรือการกระทำ ควรมีขอบเขตที่ชัดเจน เพื่อไม่ให้ก้าวข้ามเส้นแบ่งไปสู่การละเมิดเสรีภาพของผู้อื่น……