“เลสเตอร์ ซิตี้” ทีมฟุตบอลที่มีเจ้าของเป็นนักธุรกิจจากประเทศไทย สามารถสร้างประวัติศาสตร์คว้าแชมป์ลีกสูงสุดประเทศอังกฤษ เป็นครั้งแรกนับจากก่อตั้งสโมสร 132 ปี หลังจากคู่แข่งอย่าง ท็อตแน่ม ฮ็อต สเปอร์ส ไม่ชนะคู่ต่อสู้ในนัดที่ 36 ในวันที่ 2 พ.ค.59 ที่ผ่านมา ส่งผลให้เลสเตอร์คว้าแชมป์ฯไปครองแม้ว่าจะเหลือการแข่งขันอีก 2 นัดก็ตาม
ผู้คนในอังกฤษแสดงความคิดเห็นหลังเลสเเตอร์คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกว่า การที่ เลสเตอร์ ซิตี้ สามารถคว้าแชมป์ลีกสูงสุดในซีซั่นนี้ได้นั้น ถือเป็นความสำเร็จยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์วงการกีฬาเมืองผู้ดีเลยที เดียว
สำหรับประเทศไทยแล้ว แน่นอนว่าคนที่ที่ดีใจสุดๆก็เห็นจะเป็นพ่อลูกตระกูล “ศรีวัฒนะประภา” เจ้าของทีมที่ปลุกปั้นสโมสรขึ้นมา รวมถึงแฟนบอลทีมเลสเตอร์ในเมืองไทยคงดีใจที่ทีมรักทีมที่เชียร์คว้าแชมป์ แต่เหนืออื่นใดเลยก็เห็นจะเป็นประชาชนคนไทยที่ดีใจดีใจกับข่าวนี้ และที่พลอยดีใจไปด้วยก็เห็นจะเป็น “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ออกมาแสดงความยินดีกับทีมเลสเตอร์ เพราะถือว่าวันนี้เป็นทีม “จิ้งจอกสยาม” ที่ เป็นทีมของคนไทย หรือที่มีคนไทยไปร่วมเล่นด้วย ตนก็ยินดีด้วยทั้งสิ้น เพราะไปในนามของประเทศไทย คนไทยมีชื่อติดไปเป็นสยาม ซึ่งคนไทยเป็นเจ้าของทีม ก็เห็นถึงความก้าวหน้า ถือเป็นความพยายาม ตั้งแต่เป็นทีมที่ค่อนข้างจะไม่ประสบความสำเร็จ แต่วันนี้ถือว่า ประสบความสำเร็จแล้ว ถือเป็นความพยายาม
ก่อนปิดท้ายแบบมีเหน็บแนมอดีตเจ้าของทีมฟุตบอลคนไทยว่า “ก็น่าจะดีกว่าไปซื้อทีมที่ประสบความสำเร็จแล้วไปขายต่อ ถือว่าดีกว่า” เรียกว่าเป็นอารมณ์ที่คนละม้วนกับกรณีที่อดีตนายกฯหญิง “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ออกมาเตือนนิ่มๆในหน้าเฟสบุ๊คเรียกร้องให้นายกฯรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่าง หลังจาก คสช.ควบคุมตัว 8 ผู้โพสต์ข้อความผิดพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ โดยระบุว่าอดีตนายกฯจะโพสต์อะไรก็โพสต์ไป ตนให้เกียรติท่าน และเป็นคนที่ไม่รังแกผู้หญิง แต่เรื่องของคดีความก็ให้เป็นเรื่องกระบวนการยุติธรรม เพราะที่ผ่านมามีการปล่อยปละละเลยจึงต้องใช้อำนาจ แต่ก็ใช่ว่าจะเอากันจนตาย เมื่อเข้ากระบวนการยุติธรรมก็ถือว่าจบสิ้น
ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะปัญหาคุกรุ่นเรื่อง “ร่างรัฐธรรมนูญ” ที่ เคลื่อนเข้าสู่โหมดประชามติอย่างเป็นทางการ ภายหลังจาก พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญมีผลบังคับใช้เรียบร้อย แล้วกลายเป็น “หัวเชื้อ” เรียกแขกจากฝ่ายเห็นต่างออกมาท้าทายกฎหมายประชามติ และอำนาจท็อปบู๊ทอย่างต่อเนื่อง
ส่งผลให้ฝ่ายท็อปบู๊ทต้องเล่น “บทเฮี้ยบ” จับกุม 8 นักรบไซเบอร์ส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดี เล่นงานข้อหาหนัก ผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ปี 2550 พ่วงมาตรา 116 ประมวลกฎหมายอาญา เรียกว่าเป็นการ “เชือดไก่ให้ลิงดู” เป็น การ “ตัดไฟแต่ต้นลม” ไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลรวมกันได้ติด
ขณะเดียวกันก็มีการแถลงจากเจ้าหน้าที่ตำรวจและฝ่ายกฎหมาย คสช. นำโดย “พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล” รอง ผบ.ตร. กับ “พล.ต.วิจารณ์ จดแตง” โดยมีการแสดงผังล้ม คสช.ที่มีการโยงถึง “ตุ๊ดตู่-จตุพร พรหมพันธุ์” ประธานกลุ่มเสื้อแดง นปช.และ “หนูหริ่ง-สมบัติ บุญงามอนงค์” แกนนำกลุ่มวันอาทิตย์สีแดง เครือข่ายครอบคลุมไปถึงสื่อและเว็บเพจของกลุ่มเสื้อแดง นปช. ฝ่ายต่อต้าน คสช.
โดย มีการระบุว่า จากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคง พบการกระทำที่เป็นการต่อต้านการทำงานของ คสช.รวมถึงรัฐบาลและผู้นำรัฐบาลมีภาพและข้อความถูกเผยแพร่ทางเพจเฟซบุ๊ค ต่างๆและข้อความเหล่านั้นส่งผลให้เกิดการกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนใน ระดับที่จะก่อให้เกิดความไม่สงบขึ้น ในลักษณะของการยั่วยุปลุกปั่น เรียกอยู่ในขั้น “เป็นภัยต่อความมั่นคง”
แน่นอน ในเชิงของยุทธศาสตร์ มันคือการ “ตัดไฟแต่ต้นลม” เนื่องเพราะในขณะนี้เป็นห้วงหัวเลี้ยวหัวต่อ สถานการณ์ประชามติมาถึงจุดสำคัญตามโปรแกรมที่ “ซือแป๋มีชัย ฤชุพันธุ์” ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ลงพื้นที่ชี้แจงร่างรัฐธรรมนูญกับประชาชนในต่างจังหวัด ซึ่งระหว่างนี้เจ้าตัวเองยอมรับเลยว่า เตรียมใจพบกลุ่มป่วน หลัง 2 พรรคการเมืองใหญ่ทั้ง “เพื่อไทย” และ “ประชาธิปัตย์” มีท่าทีไม่รับร่างรัฐธรรมนูญใหม่
ทำให้ต้องขอกำลังเจ้าหน้าที่ดูแลความปลอดภัยและอำนวยความสะดวก ซึ่งนั่นก็ทำให้ “บิ๊กตู่” ต้อง การันตีว่า คสช.จะดูแลความสงบให้การลงพื้นที่ชี้แจงร่างรัฐธรรมนูญ ต้องไม่มีการกระทำความรุนแรงในพื้นที่ระหว่างการชี้แจงร่างรัฐธรรมนูญ ถ้ามีจะลงโทษสถานหนัก!!
อย่างไรก็ตาม ใช่ว่ารัฐบาลและคสช.จะลุยใช้อำนาจที่มีอยู่อย่างไม่สน “กระแสสังคม” รอบด้าน รวมทั้งนานาชาติที่จับตามองดูอยู่ โดยเฉพาะกับพวกที่ออกมาเคลื่อนไหวและไม่ชัดว่าโยงกับกลุ่มผลประโยชน์แฝง ทางการเมืองหรือไม่อย่างที่แนวร่วม “กลุ่มพลเมืองโต้กลับ” ซึ่ง ประกอบไปด้วยเยาวชน นักศึกษา นักวิชาการ ประชาชนคนชั้นกลาง เคลื่อนไหวจัดกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์แสดงการต่อต้านอำนาจรัฐบาลทหารอย่างแหลม คม ไล่ตั้งแต่การเปิดประเด็นจุดกระแสสังคมมาต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น ปมร้อนการทุจริตหัวคิวโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์จนมาถึงแสต้าน รัฐธรรมนูญฉบับ “มีชัย”
ยังไม่รวมถึงกรณีแบบที่อาจารย์หญิงด้านสิทธิมนุษยชนของมหาวิทยาลัยมหิดลออกแจกใบปลิวรณรงค์ “โหวตโน” ไม่ รับร่างรัฐธรรมนูญที่หน้าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก่อนเริ่มเป็นกระแสลามไปทั่วทุกมหาวิทยาลัย กับการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ของนิสิตนักศึกษาในการกดดัน คสช. เรียกร้องให้มีการเปิดกว้างในการวิพากษ์วิจารณ์ แสดงความเห็นทางการเมืองเรื่องประชามติร่างรัฐธรรมนูญได้อย่างเสรี
นับว่าเป็นการแสดงออกของ “ชนชั้นปัญญาชน” ดีกรีเข้มขึ้นตามลำดับสะท้อนว่า สังคมคนรุ่นใหม่ โลกยุคใหม่ ไม่เห็นด้วย รับไม่ได้กับวิธีการใช้ความเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในการจัดการกับสังคมประเทศไทย ของรัฐบาลทหาร สอดรับไปในทิศทางเดียวกับนานาประเทศที่เฝ้าจับตาความเป็นไปในประเทศไทยภาย ใต้อำนาจรัฐบาลทหาร คสช. กดดันให้คืนสู่บรรยากาศประชาธิปไตย
ด้วยเงื่อนไขยากๆ รวมทั้งปัจจัยลบที่กำลังกดดันรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจที่รัฐบาลกำลังแก้ไขมือเป็นระวิง จึงเป็นอะไรที่ คสช.ต้องระวัง ในสถานการณ์ที่สวนทางกัน ด้านหนึ่งจำเป็นต้องใช้ “ยาแรง” ตัดไฟป่วนประชามติ แต่อีกมุมก็ต้องคุมความเสี่ยงไม่ให้เกิดโรคแทรก
กลายเป็นวิกฤติซ้อนวิกฤติ !!